ลงทุนเพื่ออะไร...คุณค่าหรือเติบโต?

ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อหุ้นสักตัวหนึ่งเราควรถามตัวเองก่อนว่าต้องการอะไร กำไรจากส่วนต่างระหว่างราคาซื้อกับราคาขาย (Capital Gain) หรือการจ่ายเงินปันผล (Dividend)

Facebook Twitter LinkedIn

เป็นที่รู้กันดีว่าผลตอบแทนจากการซื้อหุ้นนั้นมาจากสองทาง คือ กำไรจากส่วนต่างระหว่างราคาซื้อกับราคาขายและเงินปันผล ซึ่งกำไรส่วนต่างนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อขายหุ้นในอนาคต ในขณะที่เงินปันผลจะได้รับในขณะที่ถือหุ้นอยู่ หากเราต้องการกำไรจากการขายหุ้น เราอาจจะมองหาบริษัทที่เพิ่งเริ่มก่อตั้ง มีขนาดเล็ก (small-caps) คนทั่วไปยังไม่ให้ความสนใจ ในทางกลับกันหากเราต้องการรายรับที่ไม่จำเป็นต้องมากแต่สม่ำเสมอ เราควรมองหาบริษัทที่ผ่านวงจรธุรกิจช่วงเจริญเติบโตมาแล้วและก้าวเข้าสู่ช่วงที่จะคืนผลประโยชน์ให้กับผู้ถือหุ้นโดยการจ่ายปันผลหรือการซื้อหุ้นคืน

ดังนั้น ลักษณะของหุ้นจึงแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆคือ หุ้นคุณค่า (Value stock) ที่มีมูลค่าที่แท้จริงของกิจการมากกกว่าราคาตลาดในปัจจุบัน และหุ้นเติบโต (Growth stock) ที่กิจการมีโอกาสในการทำกำไรในอนาคตซึ่งจะช่วยผลักดันให้ราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้น

ลงทุนเพื่อคุณค่า

วิธีการดูราคาก่อนจะเลือกลงทุนในหุ้นอาจมองได้ 2 วิธี

  1. การดูราคาโดยเปรียบเทียบ (Relative value) วิธีนี้จะเปรียบเทียบอัตราส่วนของราคาในรูปแบบต่างๆ เช่น P/E, P/B หรือ P/S ของหุ้นนั้นๆกับค่าอ้างอิง (Benchmark) เช่น ราคาหุ้นย้อนหลัง ค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม หรือค่าเฉลี่ยของตลาด เป็นต้น
  2. การดูราคาโดยสัมบูรณ์ (Absolute value) วิธีนี้จะไม่ทำการเปรียบเทียบหุ้นกับสิ่งอื่น แต่จะสนใจว่ากิจการนั้นควรจะมีมูลค่าที่แท้จริงเป็นเท่าไร แล้วตัดสินใจซื้อเมื่อราคาตลาดต่ำกว่าตัวเลขที่ประเมินได้ ปัจจัยที่ใช้วิเคราะห์ในการหามูลค่าของกิจการอาจมาจากงบดุล งบกระแสเงินสด กำไรสุทธิและกำไรที่คาดการณ์ในอนาคต เป็นต้น

สำหรับการลงทุนแบบนี้ ควรจะตัดสินใจขายหุ้นเมื่อราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับมูลค่าแท้จริงที่คาดการณ์ไว้ หรือเมื่ออัตราส่วนทางการเงินปรับขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม หรือเมื่อปัจจัยที่เรานำมาประเมินมูลค่าหุ้นในตอนแรกนั้นเปลี่ยนไปและทำให้กิจการไม่สามารถทำกำไรได้ตามที่คาดการณ์ไว้

ลงทุนเน้นเติบโต

สิ่งสำคัญของการลงทุนแบบเน้นเติบโตคือ ผลกำไร รายได้ หรือความสามารถที่ราคาจะเพิ่มขึ้นในอนาคต มากกว่าการเลือกหุ้นราคาถูก ดังนั้นจะสังเกตได้ว่า กองทุนที่ลงทุนในหุ้นเติบโตมักจะมี P/E และ P/B ที่สูงว่ากองทุนที่ลงทุนในหุ้นคุณค่า นักลงทุนอาจวัดการเติบโตของบริษัทได้หลายวิธี เช่น

  1. ผลกำไร ถ้าหากกำไรของบริษัทเติบโตไม่เร็วพอเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาดหรือบริษัทคู่แข่งในอุตสาหกรรม หุ้นเหล่านั้นก็ไม่น่าสนใจอีกต่อไป โดยมองหาหุ้นที่ทำกำไรดีในแต่ละไตรมาสและมีอัตราการเจริญเติบโตสูงโดยเฉลี่ยตลอดทั้งปีด้วย
  2. รายได้ เป็นเรื่องปกติที่บางบริษัทอาจจะยังไม่มีกำไรในระยะแรก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบริษัทนั้นจะไม่เติบโต (เช่น บริษัทผลิตยาที่มีค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนามากในช่วงแรก) วิธีนี้นักลงทุนอาจซื้อหุ้นโดยยังไม่คำนึงถึงผลกำไรมากนักถ้าหากบริษัทสามารถสร้างยอดขายที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามวิธีการนี้ก็มีความเสี่ยงมากกว่าการลงทุนในบริษัทที่ทำกำไรแล้ว

 

ผลตอบแทนในวันนี้ หรือ ผลตอบแทนในอนาคต?

ถึงแม้ว่าผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลจะเห็นชัดกว่าในปัจจุบัน แต่การเลือกลงทุนในหุ้นที่จ่ายปันผลสูงเพียงอย่างเดียวอาจจำกัดการเติบโตของพอร์ตโฟลิโอในระยะยาวได้ นักลงทุนจึงควรมองผลตอบแทนโดยรวม (Total return) ที่จะเกิดขึ้นจากทั้งเงินปันผลและการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นก่อนตัดสินใจลงทุน การมองผลตอบแทนโดยรวมนี้จะมีประโยชน์เกี่ยวกับผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อด้วยเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นมีความเกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อผ่านมาทางความสามารถในการทำกำไรของบริษัทที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้นและอาจจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นด้วย

ในปัจจุบัน ผู้จัดการกองทุนและนักลงทุนจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะใช้กลยุทธ์ในการลงทุนทั้ง 2 ประเภทที่กล่าวมาหรือที่เรียกว่า กลยุทธ์การลงทุนแบบผสม (Blend) คือเลือกลงทุนทั้งในบริษัทที่มีอัตราการเจริญเติบโตช้าแต่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและบริษัทที่มีอัตราการเติบโตสูงไปพร้อมๆกัน กลยุทธ์การลงทุนแบบผสมนี้จะช่วยให้กองทุนหรือพอร์ตโฟลิโอมีการกระจายสินทรัพย์ที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนได้ในระยะยาว

Facebook Twitter LinkedIn

About Author

Morningstar Analysts   -