นักลงทุนเทขายหุ้นทั่วโลกส่งผลให้หลายตลาดหุ้นทำผลตอบแทนรายไตรมาสติดลบมากที่สุดนับตั้งแต่ วิกฤตการเงินในยุโรปเมื่อปี 2554 กองทุนรวมในประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบนี้เช่นกันทำให้ยอดสินทรัพย์กองทุนรวมหลุด 4 ล้านล้านบาท แต่ทั้งปียังโต 4.07% กองทุนต่างประเทศนำโดยกลุ่ม Healthcare ยังโตต่อเนื่อง
อุตสาหกรรมกองทุนรวมประเทศไทย
มาถึงตรงนี้คงต้องยอมรับว่าโอกาสที่จะเห็นอุตสาหกรรมกองทุนรวมไทยปีนี้โตเป็นเลข 2 หลักนั้นคงเป็นเรื่องที่ท้าท้ายมาก เนื่องจากสถานการณ์การลงทุนทั่วโลกมีความผันผวนอย่างมาก ปิดไตรมาส 3 อตุสาหกรรมกองทุนไทยปีนี้โต 4.07% มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวม 3.96 ล้านล้านบาท
แต่อย่างไรก็ตามหากมองลึกๆแล้ว กองทุนรวมไทยปีนี้มีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิรวมถึงเกือบ 500,000 ล้านบาท โดยนักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มมองหาและย้ายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำมากขึ้น ส่งผลให้กองทุนตลาดเงิน (Money Market) และ กลุ่มกองทุนตราสารหนี้ทั้ง Short Term Bond และ Mid/Long Term Bond นั้นได้รับความนิยมจากผู้ลงทุนสูงสุด โดยมีเม็ดไหลเข้าสุทธิทั้งสิน 169,463 และ 125,967 และ 104,480 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่กองทุน High Yield Bond ที่ลงทุนในต่างประเทศก็ยังคงมีเงินไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง กว่า 100,576 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการสลับเปลี่ยนการลงทุนจากกองทุน Term Fund ที่ลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศโดยใน 9 เดือนแรกนี้มีเงินไหลอออกกว่า –140,000 ล้านบาท แต่ทั้งนี้กองทุน High Yield Bond กลุ่มดังกล่าวเริ่มจะได้รับความนิยมลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงต้นปี ทั้งนี้ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะอัตราผลตอบแทนที่ลดลงอยู่ที่ระดับเพียง 1.8-2.5% เท่านั้น
ทั้งนี้กลุ่มกองทุนที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดตลอดปีนี้ก็คือ กองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ (ไม่รวมกองทุน Term Fund) เรียกได้ว่ามากที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีเงินลงทุนไหลออกนอกประเทศสุทธิกว่า 107,473 ล้านบาท จากกลุ่มดังกล่าว โดยกลุ่มกองทุนที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากผู้ลงทุนคงหนีไม่พ้น กองทุน Healthcare ซึ่ง ณ ปัจจุบัน มีเปิดดำเนินการทั้งสิ้น 17 กองทุนทั้งแบบกองทุนเปิดธรรมดาและเป็นกองทุน RMF มีเงินลงทุนไหลเข้ากลุ่มนี้สุทธิกว่า 38,575 ล้านบาท ทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมกว่า 53,897 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มกองทุนหุ้นญี่ปุ่น และกองทุนหุ้นจีน ที่มีเงินไหลเข้าสุทธิกว่า 23,710 และ 17,316 ล้านบาทตามลำดับ
ส่วนแบ่งเงินลงทุนไหลเข้ากองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ (ไม่รวมกองทุน Term Fund) ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (กราฟ)
ซึ่งปัจจุบันกองทุนกลุ่มที่ลงทุนในต่างประเทศ (ไม่รวมกองทุน Term Fund) นี้มีจำนวนทั้งสิ้น 304 กองทุน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวม 309,308 ล้านบาท โตจากสิ้นปีที่แล้ว 40.18% โดยกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศยังคงครองส่วนแบ่งสูงสุดที่ 61.82% ตามมาด้วยกลุ่มกองทุนผสมที่ 18.37% ส่วนที่เหลือรวมประมาณ 20% ได้แก่ กองทุนทองคำและกองทุนตราสารหนี้
โดยในกลุ่มการลงทุนในต่างประเทศ (ไม่รวมกองทุน Term Fund) ทั้งหมดนี้ บลจ.กสิกรไทย ยังคงครองส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุดสูงถึง 39.11% มีเงินลงทุนรวมในกลุ่มนี้กว่า 120,982 ล้านบาท อันดับที่ 2 บลจ. กรุงศรีมีส่วนแบ่ง 10.69% มีเงินลงทุนประมาณ 33,069 ล้านบาท ซึ่งยังคงโตอย่างต่อเนื่องนับจากสิ้นไตรมาส 2 ที่ 9.28% ส่วนอันดับ 3 ตกเป็นของ บลจ. ยูโอบี ประเทศไทย ที่ 9.42% มีสินทรัพย์สุทธิรวม 29,133 ล้านบาท ซึ่งก็โตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ขณะที่กองทุนหุ้นไทย (ไม่นับรวม LTF และ RMF) ได้รับผลกระทบโดยตรงจากตลาดหุ้นไทยที่ผันผวนในไตรมาสที่ 3 นี้ทำให้ มูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมลดลง -7.47% มาอยู่ที่ 163,526 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามยังคงมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิตลอดทั้งปี 4,580 ล้านบาท โดย 2 กลุ่มที่ได้รับความนิยมอย่างชัดเจนในปีนี้คือ กลุ่มกองทุน Passive Fund มีเงินไหลสุทธิเข้ากว่า 1,700 ล้านบาทและกลุ่มกองทุนหุ้นขนาดกลางและเล็กที่หลาย บลจ. ทยอยออกกองทุนในกลุ่มดังกล่าวมาเป็นทางเลือกให้กับผู้ลงทุน
บลจ. ยังคงทยอยออก Trigger fund อย่างต่อเนื่องในไตรมาส 3 นี้ โดยใช้โอกาสในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับลดลงนี้ ออกกองทุนใหม่ทั้งสิ้น 27 กองทุนแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับผลตอบรับที่ดีจากนักลงทุนโดยทำยอด IPO ได้เพียง 5,777 ล้านบาท เฉลี่ยต่อกองทุนเพียง 200 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากเมื่อต้นปีกว่า 60% ทั้งนี้ส่วนหนึ่งคงเป็นนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงมีเงินลงทุนติดอยู่กับกอง Trigger fund กองเก่าที่ออกมาตั้งแต่ช่วงครึ่งแรกของปี
จบไตรมาส 3 นี้มีกอง Trigger fund เปิดเสนอขายแล้วทั้งสิ้น 96 กองทุน ดึงเงินลงทุนได้ 35,777 ล้านบาท แบ่งเป็น Trigger Fund ลงทุนหุ้นต่างประเทศ 57 กองทุน ลงทุนหุ้นไทย 26 กองทุน ลงทุนในน้ำมัน 13 กองทุน ทั้งนี้มีเพียง 25 กองทุนเท่านั้นที่สามารถทำผลตอบแทนได้ตามเป้าหมาย
ผลตอบแทนเฉลี่ยกองทุน Trigger fund ที่ยังไม่ถึงเป้าหมาย (กราฟ)
ผลตอบแทนกองทุนรวมประเภทต่างๆ
ไตรมาส 3 นี้นับเป็นช่วงเวลาที่ท้าท้ายฝีมือผู้จัดการกองทุนมากที่สุดนับตั้งแต่ วิกฤตการเงินในยุโรปเมื่อปี 2554 โดยมีเพียง 4 กลุ่มเท่านั้นที่สามารถทำผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นบวก ได้แก่ กลุ่ม Money Market ที่ 0.31% กลุ่มกองทุนตราสารหนี้ทั้ง Short Term Bond และ Mid/Long Term Bond ที่ 0.39% และ 0.07% ตามลำดับ สุดท้าย กลุ่ม Property Indirect (เน้นลงทุนหุ้นอสังหาริมทรัพย์และกองทุนอสังหาริมทรัพย์) ที่ 0.54% ขณะที่กลุ่มที่ทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้น้อยที่สุดนั้นได้แก่ กลุ่มกองทุนหุ้นจีน ที่ -20.55% ตามมาด้วย กองทุนน้ำมัน ที่ -19.72% และกลุ่ม Emerging Market Equity ที่ -13.65%
และหากมองรวมผลตอบแทนทั้งปีนั้น กองทุนหลายประเภทที่โดดเด่นทำผลตอบแทนได้ดีในช่วงครึ่งปีแรกนั้นก็ได้รับผลกระทบจนกลายเป็นติดลบไป เหลือเพียง 8 กลุ่มกองทุนเท่านั้นที่ยังคงมีผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นบวกอยู่ ซึ่งกลุ่มกองทุนที่สามารถทำผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงสุดในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาได้แก่ กลุ่ม Property Indirect ที่ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.84% ตามมาด้วยกลุ่ม Europe Equity ที่ได้ผลตอบแทนที่ดีในช่วงครึ่งปีแรกมาช่วย ทำให้ได้ยังทำผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 4.62% ขณะที่กลุ่ม Healthcare ก็ได้รับผลกระทบมากเช่นกันส่งผลให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเหลือเพียง 4.27% ส่วนกลุ่ม Japan Equity ที่ทำผลตอบเฉลี่ยได้สูงสุดในช่วงครึ่งปีแรก นั้นปัจจุบันเหลือผลตอบแทนเฉลี่ยเพียง 2.04%
หุ้นไทยกลุ่มกองทุนหุ้นขนาดกลางและเล็ก (Equity Small/Mid-Cap) และกองทุนหุ้นขนาดใหญ่ (Equity Large Cap) นั้นได้รับผลกระทบไปแบบเต็มๆโดยทำผลตอบแทนเฉลี่ย -4.81 และ -7.81ตามลำดับ
ส่วนผลตอบแทนของกองทุนในกลุ่มตราสารหนี้นั้นกลุ่ม Short Term Bond และ Mid/Long Term Bond นั้นสามารถทำผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นบวกที่ 1.73% และ 1.58% ตามลำดับ ขณะที่กลุ่ม Global Bond และEmerging Market Bond นั้นผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบทั้ง 2 กลุ่มที่ -1.68% และ -6.64% ตามลำดับ
ขณะที่กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์โดยเฉพาะกองทุนน้ำมันนั้นได้รับผลกระทบโดยตรงจากราคาน้ำมันโลกที่ตกลงอย่างต่อเนื่องทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบมาถึง -24.03% ส่วนกองทุนทองคำนั้นก็ยังคงผันผวนทำผลตอบบแทนได้ที่ -3.79%
ปิดท้ายกันที่กองทุน LTF และ RMF ซึ่งหนีไม่ผลที่จะได้รับผลกระทบจากความผันผวนของตลาดหุ้นไทยเช่นกันส่งผลให้ กองทุน LTF มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 253,420 ล้านบาท -6.49% ขณะที่ RMF โตเพียงเล็กน้อยที่ 0.19% มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 167,021 ล้านบาท
ทั้งนี้นักลงทุนบางส่วนก็ใช้โอกาสในช่วงหุ้นตกนี้ทำการทยอยลงทุนทั้งกองทุนมากเป็นประวัติการณ์ โดย LTF มีเงินลงทุนไหลเข้าสุทธิในไตรมาส นี้กว่า 10,766 ล้านบาทขณะที่ RMF มีเม็ดเงินไหลเข้าสุทธิอย่างต่อเนื่องเช่นกันที่ 4,420 ล้านบาท แต่อย่างไรก็ตามจากการประเมินและสถิติในอดีตนั้นแสดงให้เห็นว่า ยังมีเม็ดเงินอีกกว่า 30,000 ล้านบาทในส่วนของ LTF และอีกกว่า 15,000 ล้านบาทของ RMF ที่ยังรอการลงทุนอยู่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
*ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2558
**ที่มา: บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) www.morningstarthailand.com
***ข้อมูลการจัดอันดับกองทุนและเนื้อหาต่างๆในเอกสารฉบับนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) และบริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการลอกเลียนแบบ แก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงข้อมูลใดๆ ที่ปรากฎอยู่นี้โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร อย่างไรก็ดี บริษัทขอสงวนสิทธิ์ที่จะไม่รับผิดชอบต่อความถูกต้อง ครบถ้วน และความเสียหายต่างๆ ที่เกิดขึ้นทุกกรณีจากการนำรายงานหรือข้อมูลไปใช้อ้างอิง ดังนั้น หากผู้ลงทุนจะดำเนินการอย่างหนึ่ง อย่างใด ผู้ลงทุนควรใช้วิจารณญาณและความรอบคอบในการพิจารณา
ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ กิตติคุณ ธนรัตนพัฒนกิจ 02-126-8137