Health needs Help

ตลาดหุ้นทั่วโลกผัวผวนหนัก 2 สัปดาห์แรก Market Cap หายไปกว่า 5 ล้านล้านเหรียญ นักลงทุนควรรับมืออย่างไรดี

Facebook Twitter LinkedIn

          คงจะยังไม่สายเกินไปที่กล่าวคำว่า “สวัสดีปีใหม่” นะครับนักลงทุนทุกท่านและหวังทุกท่านยังคงพอจะยิ้มกันออกอยู่หลังจากที่เปิดต้นปีใหม่มานี้เพียงแค่ 2 สัปดาห์ ตลาดหุ้นทั่วโลกก็เกิดความผันผวนเป็นอย่างมาก ทำให้มูลค่าหลักทรัพย์ของตลาดหุ้นทั่วโลกปีนี้ได้หายไปกว่า 5 ล้านล้านเหรียญ (ที่มา: Bloomberg)

และจากสถานการณ์การลงทุนในปัจจุบันนี้ หนึ่งในทฤษฎีการลงทุนที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดในตอนนี้คงหนีไม่พ้น “January Effect” หากท่านใดยังไม่คุ้นกัน กล่าวสั้นๆคือ ทฤษฎีนี้มีความเชื่อว่าโดยเฉลี่ยแล้วผลตอบแทนของหุ้นในเดือนมกราคมนั้นจะเป็นบวกและดีกว่าเดือนอื่นของปี เนื่องมาจากนักลงทุนส่วนใหญ่จะทำการขายหุ้นที่ขายทุนเพื่อลดภาษีกันในช่วงท้ายของปีและจะกลับมาซื้อกันใหม่ในช่วงเดือนมกราคมจนทำให้หุ้นนั้นกลับมาราคาสูงอีกครั้ง แต่ในหลายปีที่ผ่านมานี้เหตุการณ์ดังกล่าวนั้นมักจะไม่ค่อยเกิดขึ้นแล้วและคาดรวมถึงในปีนี้ด้วยเช่นกัน

ซึ่งสาเหตุนั้นเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย อาทิ ปัจจุบันนี้มีหลายเครื่องมือในการลงทุนที่จะช่วยลดภาษีได้โดยเฉพาะการลงทุนเพื่อการเกษียญ รวมถึงตลาดเริ่มรับรู้และปรับตัวกับเหตุการณ์ดังกล่าวมาเป็นระยะเวลาพอสมควรแล้ว ดังนั้นนักลงทุนเองคงต้องปรับตัวตามไปด้วยเช่นกัน

เริ่มต้นกันตั้งแต่สัปดาห์แรกของปีที่ตลาดหุ้นจีนเกิดการเทขายอย่างรุนแรงจนดัชนี CSI 300 ตก -16.41% จนมาตราการ circuit breaker นั้นยังเอาไม่อยู่จนทางการจีนนั้นต้องประกาศยกเลิกไป หุ้นสหรัฐดัชนี S&P500 เองก็ตกอย่างหนักกว่า 8% มากที่สุดนับแต่ปี 1927 รวมถึงตลาดหุ้นอื่นๆทั่วโลกเช่นเดียวกันไม่ว่าเป็นทั้งกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว (Developed Markets) หรือกำลังพัฒนา (Emerging Markets) หุ้นไทย SET Index เองก็ -3.27% ส่วนราคาน้ำมันก็ยังตกอย่างต่อเนื่องจนลงมาต่ำกว่า 30 เหรียญต่อบาร์เรลเป็นที่เรียบร้อยแล้วต่ำสุดในรอบ 12ปี ทำให้ดูเหมือนว่าปีนี้จะเป็นปีที่ยากละท้าทายมากอีกปีของการลงทุนจริงๆดังเช่นที่นักวิเคราะห์หลายสำนักคาดการณ์กันไว้

และไม่เพียงแต่หุ้นเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ กองทุนหุ้นเองก็เช่นเดียวกันต่างพากันติดลบกันอย่างมาก อาทิเช่น กองทุนรวมกลุ่ม Healthcare หุ้นยุโรป หุ้นญี่ปุ่น ที่เมื่อปี 2558 นั้นเป็นกลุ่มกองทุนที่สามารถทำผลตอบแทนได้สูงมากโดยเฉลี่ยเกินกว่า 10% นั้น เปิดมาปีนี้ก็ติดลบกันอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่ม Healthcare ที่ปีนี้เปิดมาเพียง 2 สัปดาห์ก็พากันติดลบเฉลี่ยแล้วกว่า -10% แล้วเช่นเดียวกัน

ซึ่งตรงนี้ผมก็อยากฝากเตือนไปถึงผู้ลงทุนกันอีกซักครั้งด้วยว่า

การเลือกลงทุนโดยใช่หลักแบบวิ่งไล่ตาผู้ชนะ (chasing the winner) นั้นไม่ใช่หลักการที่ดีเลย

อีกทั้งกองทุนรวมกลุ่ม Healthcare นั้นถึงแม้ว่าจะดูว่าเป็นการเกาะกระแส Mega Trend ของโลกก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความเสี่ยงเอาเสียเลยและซึ่งโดยพื้นฐานแล้วนั้นกองทุนในกลุ่มดังกล่าวนั้นคือการลงทุนแบบ Sector Fund มีการลงทุนแบบกระจุกตัวอยู่เพียงกลุ่มอุตสากรรมเดียวซึ่งมีความเสี่ยงสูงอยู่แล้ว ดังนั้นนักลงทุนต้องเข้าใจตรงจุดนี้ด้วยประกอบกับอีกทั้งกว่า 80% ของทรัพย์สินที่กองทุนลงทุนนั้นจะเป็นหุ้นในสหรัฐอเมริกาซึ่งก็หนีไม่พ้นที่จะได้รับผลกระทบจากการลดลงของดัชนีโดยรวมไปอีกด้วย นอกเหนือจากการขายทำกำไรเนื่องจากหุ้นในกลุ่ม Healthcare นั้นโตต่อเนื่องมาหลายปีติดต่อกัน

แล้วเราควรปรับตัวอย่างไรต่อสถานการณ์การลงทุนที่มันผันผวนอย่างต่อเนื่องเช่นนี้อย่างไร ผมมีคำแนะนำดังนี้ครับ

  1. สำหรับใครที่ยังไม่เคยวางแผนการลงทุน (Asset Allocation) ให้เหมาะสมกับเป้าหมาย ควรถือโอกาสนี้เริ่มต้นเลยครับ หรือหากใครที่ทำไว้แล้วก็ควรเช็คสถานะของพอร์ตการลงทุนของท่านว่ายังคงเป็นไปตามเป้าหมายอยู่หรือไม่
  2. ถือโอกาสนี้ทำการ Rebalance พอร์ตการลงทุนของท่านให้เป็นไปตามเป้าหมาย ซึ่งการ Rebalance นี้จะทำให้เราได้ซื้อของถูกและขายของแพงออกจากพอร์ตเราอยู่เสมอ
  3. Turn out the noise อย่าไปสนใจข่าวต่างๆมากจนเกินไป มุ่งเน้นที่เป้าหมายทางการลงทุนเป็นจุดสำคัญ

ขอให้ทุกท่านโชคดี ประสบความสำเร็จในการลงทุนตลอดปีนี้ครับ

Facebook Twitter LinkedIn

About Author

Kittikun Tanaratpattanakit

Kittikun Tanaratpattanakit  Senior Research Analyst