Awards Winner – Equity Small/Mid Cap

Morningstar Awards 2019 กองทุนรวมหุ้นขนาดกลางและเล็ก (Equity Small and Mid-Cap) ได้แก่ กองทุนเปิดบัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาลเพื่อการเลี้ยงชีพ มาติดตามบทสัมภาษณ์จากทีมผู้จัดการกองทุนกันค่ะ

Morningstar 27/03/2562
Facebook Twitter LinkedIn

Awd 2019 logo red

กองทุนเปิดบัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาลเพื่อการเลี้ยงชีพ จาก บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม บัวหลวง จำกัด มีการเน้นลงทุนในหุ้นปันผลสูงและสม่ำเสมอ รวมทั้งมี CG Scoring หรือการกำกับดูแลกิจการ ธรรมาภิบาลที่ดี และในอดีตที่ผ่านมากองทุนนี้มีความเสี่ยงที่ต่ำกว่ากองทุนอื่นในกลุ่ม ซึ่งส่งผลให้กองทุนได้รับรางวัลกองทุนหุ้นขนาดกลาง-เล็ก ยอดเยี่ยมในปีนี้

เรามาทำความรู้จักกองทุนเปิดบัวหลวงสิริผลบรรษัทภิบาลเพื่อการเลี้ยงชีพ จากบทสัมภาษณ์ผู้จัดการกองทุนกันเลยค่ะ

คำถาม: ท่านคิดว่า อะไรคือ ปัจจัยที่ส่งผลให้กองทุนประสบความสำเร็จในปีที่ผ่านมา และอะไรเป็นปัจจัยที่ท้าทายต่อผลการดำเนินงานของกองทุน

คำตอบ: กองทุน BSIRIRMF จะเน้นลงทุนในหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงและสม่ำเสมอ อีกทั้งเป็นบริษัทที่มี CG Scoring ที่ดี แม้ว่ากองทุนนี้จะเน้นลงทุนในหุ้นปันผล แต่ก็ต้องเป็นหุ้นที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลต่อเนื่อง (Track Record) และมีระดับ P/E ที่ไม่สูงเกินไปนัก โดยไม่ได้คำนึงถึง Market cap แต่ให้ความสำคัญกับการเน้นที่คุณภาพและการประเมินมูลค่าหุ้น (Valuation) ส่งผลให้ผลตอบแทนโดยรวมออกมาดีสม่ำเสมอ นำไปสู่การได้รับรางวัลในครั้งนี้

ความท้าทายต่อผลการดำเนินงานของกองทุน คือ การคัดสรรลงทุนในหุ้นรายตัว ที่มีผลประกอบการแข็งแกร่ง จ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอ และราคาไม่แพง แต่ก็ต้องยอมรับว่า การเฟ้นหาหุ้นที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ทำได้ยากขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีต เพราะยิ่งราคาหุ้นปรับตัวขึ้น ความน่าสนใจในอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลก็จะลดลง

คำถาม: ท่านมีมุมมองต่อตลาดหุ้นอย่างไรในปี 2019 และมีกลยุทธ์ในการลงทุนอย่างไร ท่ามกลางภาวะตลาดผันผวน

คำตอบ: ตั้งแต่ต้นปี SET Index ฟื้นตัวขึ้นมา ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก ปัจจุบัน (ณ สิ้นเดือน ก.พ. 2019) ตลาดหุ้นไทยซื้อขายอยู่ที่ P/E ระดับประมาณ 15 เท่า เทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่ 16 เท่า อย่างไรก็ดี แนวโน้มของผลประกอบการในปีนี้  อาจจะไม่ได้เติบโตโดดเด่นมากนัก แต่ด้วย P/E ที่ต่ำกว่าประเทศในภูมิภาค จึงทำให้ Downside ของตลาดหุ้นไทย มีไม่มาก ขณะเดียวกัน Upside ของตลาดในปีนี้ก็น่าจะจำกัดเช่นกัน เพราะโอกาสที่ตลาดจะถูกซื้อขายด้วยมูลค่าหุ้นที่มีส่วนบวกเพิ่ม หรือ Premium ที่สูงกว่าคงเป็นไปได้ยาก

นอกจากนี้ ประเด็นการเมืองภายหลังการเลือกตั้ง ยังเป็นปัจจัยหลักที่ต้องติดตาม เพราะว่า เสถียรภาพทางการเมืองจะมีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน ทั้งยังเชื่อมโยงไปถึงความน่าลงทุน ในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตาม เราเชื่อมั่นว่า ไม่ว่ารัฐบาลชุดไหนจะเข้ามาบริหารประเทศ นโยบายหลักของแต่ละรัฐบาลก็จะมุ่งเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยเช่นกัน

กลยุทธ์ในการลงทุนของกองทุนบัวหลวงในปีนี้ จะเป็นไปตามธีมการลงทุน นั่นคือ “รุ่งเรืองด้วยโครงสร้างพื้นฐาน บนสายพานของโลจิสติกส์” ซึ่งเป็นเมกะเทรนด์ทั่วโลก ทั้งนี้ กระบวนการคัดกรองในการลงทุน จะอยู่ภายใต้กรอบที่กำหนดไว้ ผ่านการเฟ้นหาบริษัทที่ได้รับประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ ขณะเดียวกัน ทีมงานจะประเมินมูลค่าที่เหมาะสมในการลงทุน เพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีและยั่งยืนในอนาคต

คำถาม: ท่านคิดว่าสถานการณ์ หรือปัจจัยภายนอก เช่น สงครามการค้าสหรัฐอเมริกากับจีน การแกว่งตัวของราคาน้ำมัน และการปรับขี้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ส่งผลต่อการตัดสินใจในการลงทุนตลาดหุ้นไทยอย่างไรบ้าง

คำตอบ: กองทุนบัวหลวงมองว่า ประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนผ่อนคลายลงมากแล้ว เห็นได้จากท่าทีของผู้นำทั้ง 2 ประเทศที่ไม่แข็งกร้าวเฉกเช่นในช่วงที่ผ่านมา โดยทั้ง 2 ประเทศน่าจะสามารถเจรจาประนีประนอมไม่ให้เกิดผลกระทบรุนแรงมากนัก ซึ่งในเรื่องนี้นักลงทุนได้รับรู้ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม คิดว่า การเจรจาจะยังคงยืดเยื้อต่อไป ส่วนราคาน้ำมันในตลาดโลกก่อนหน้านี้ที่มีความผันผวน ก็เริ่มกลับมามีเสถียรภาพ จากอุปสงค์และอุปทานที่เข้าสู่สภาวะสมดุลมากขึ้น

ขณะที่ ธนาคารกลางสหรัฐ (FED)  เริ่มมีท่าทีชะลอการปรับดอกเบี้ยนโยบาย  ซึ่งเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ส่งผลให้ค่าเงินมีเสถียรภาพมากขึ้น

ทั้งนี้ ประเด็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศยักษ์ใหญ่ อย่างสหรัฐฯ และจีน เป็นเรื่องที่ต้องจับตามากกว่า โดยปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นปรับตัวลงแรงจากความกังวลดังกล่าว อย่างไรก็ดี หากพิจารณาตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ นับว่าค่อนข้างดี และไม่ได้ชะลอตัวมากตามที่ตลาดกังวล ส่วนเศรษฐกิจจีน แม้อัตราการเติบโตชะลอตัวลง แต่ว่า รัฐบาลก็ออกมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างเต็มที่ ดังนั้น เรามองว่า ผลกระทบต่อการลงทุนในหุ้นไทยโดยตรง คงมีไม่มากนัก เนื่องจากตลาดสะท้อนความกังวลเรื่องการชะลอตัวของเศรษฐกิจไปพอสมควรแล้ว หากในปีนี้เศรษฐกิจจะชะลอลง ก็คงไม่ได้ส่งผลต่อตลาดรุนแรงอย่างปีที่แล้ว

คำถาม: ท่านคิดว่า อะไรคือ จุดแข็งของทีมงานที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของกองทุน

คำตอบ: จุดเด่นของทีมจัดการกองทุน กองทุนบัวหลวง คือ การทำงานแบบทีมเวิร์ค โดยทีมงานมีประสบการณ์การทำงานในอุตสาหกรรมนี้เฉลี่ยเกิน 10 ปี อีกทั้งมีความต่อเนื่องในการบริหารกองทุน เนื่องจากไม่ได้เปลี่ยนแปลงทีมงานบ่อย เราเชื่อว่า การสื่อสารแลกเปลี่ยนความคิดเห็นภายในทีมงานอย่างตรงไปตรงมา มีส่วนสำคัญในการสร้างแนวคิดการลงทุนที่ดีและรอบคอบ

หัวใจสำคัญของกระบวนการลงทุนของเรา คือ แนวคิดการลงทุนที่เจาะลึกพื้นฐานหุ้นรายตัว (Bottom Up Approach) ของทีมนักวิเคราะห์ และปรึกษาหารือในเชิงรายละเอียดกับทีมผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์  เพื่อให้มั่นใจได้ว่า กลยุทธ์การลงทุนในแต่ละช่วงประกอบไปด้วยหุ้นที่ได้รับการกลั่นกรองแล้วอย่างมีคุณภาพ ทั้งสามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยที่ดีกว่าตลาดได้ในระยะยาว

เราเชื่อว่า ผลงานที่ดี  มิอาจเกิดขึ้นได้จากคนเพียงคนเดียว หากเกิดจากความร่วมมือ ร่วมใจ และความทุ่มเทของทีมจัดการกองทุนทุกคน ที่ทำงานผสานกันได้อย่างกลมกลืนก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีตามมา

คำถาม: ท่านมีคำแนะนำอย่างไรบ้าง สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุนนี้

คำตอบ: นโยบายการลงทุนของกองทุน BSIRIRMF เน้นลงทุนระยะยาวในบริษัทที่มีการกำกับดูแลกิจการที่ดี โดยพิจารณาจากการจัดอันดับ CG Scoring ตามเกณฑ์ที่กองทุนกำหนด อีกทั้งจะต้องเป็นบริษัทที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ

แม้ว่า BSIRIRMF ไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล แต่จะนำเงินไปลงทุนต่อเนื่อง (Re-Invest) ดังนั้น ผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนได้รับจะไม่ใช่กระแสเงินสดระหว่างทาง แต่จะเป็นส่วนต่างจากราคาที่เกิดจากผลตอบแทนเงินปันผลทบต้นในระยะยาว

กองทุน BSIRIRMF นอกจากจะเป็นกองทุนประเภทหุ้น ยังจัดอยู่ในประเภทกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการลงทุนเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนวัยเกษียณ พร้อมรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ทั้งนี้ ผู้ลงทุนควรจะศึกษาเงื่อนไขการลงทุนของกองทุนให้ดีก่อนการตัดสินใจลงทุน

กองทุนนี้เหมาะกับผู้ลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นได้พอสมควร เนื่องจากเลือกลงทุนในหุ้นเป็นหลัก จึงอาจมีความผันผวนระหว่างทางได้ แต่ว่าในระยะยาว การเลือกลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง ก็จะสร้างกระแสเงินสดได้อย่างสม่ำเสมอ แม้จะเป็นหุ้นที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตสูงก็ตาม จึงมีความเสี่ยงต่ำเมื่อเผชิญกับวัฏจักรการขึ้นลงของเศรษฐกิจ

Facebook Twitter LinkedIn

About Author

Morningstar