ประเด็นสำคัญ (Key Takeaways)
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังมีมูลค่าสูงขึ้น และพันธบัตรที่มีความเสี่ยงมากกว่า ก็ไม่ได้ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าพันธบัตรที่ปลอดภัยมากนัก
- ตลาดมีโอกาสฟื้นตัวจากแรงกระแทกได้น้อยลง และนักลงทุนในพันธบัตรก็อาจมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่จำกัดมากขึ้น
- นักวิเคราะห์ยังคงมองเห็นโอกาสท่ามกลางการประเมินมูลค่าที่สูง โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นขนาดเล็ก (Small Caps), ตลาดต่างประเทศ, และพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนสูง (High-Yield Bonds)
ปัจจุบันโอกาสในการหาหุ้นราคาถูกบนวอลล์สตรีทนั้นหายากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่ตลาดเผชิญกับความผันผวนจากมาตรการขึ้นภาษี หุ้นก็พุ่งขึ้น และราคาพันธบัตรก็ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน ปรากฏการณ์นี้ยังลุกลามไปถึงสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ทองคำและบิตคอยน์ ที่ต่างทำจุดสูงสุดใหม่ เนื่องจากนักลงทุนเทเงินเข้าสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้น
แม้ว่าการปรับตัวขึ้นเหล่านี้จะหมายถึงนักลงทุนหลายคนกำลังได้รับผลตอบแทนที่ดีในปี 2025 แต่การประเมินมูลค่าที่สูงขึ้นก็ยังเป็นสัญญาณว่า การหาหุ้นในราคาที่คุ้มค่านั้นยากขึ้น ในขณะเดียวกัน ตลาดหุ้นก็มี "เบาะรองรับ" ที่บางลงในกรณีที่เกิดการปรับฐาน และตลาดพันธบัตรก็ให้ผลตอบแทนที่ต่ำลง
นักกลยุทธ์มองเห็นโอกาสที่ถูกกว่าในตลาดต่างประเทศและหุ้นขนาดเล็ก (Small Cap)
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา กลุ่มนี้มีผลตอบแทนตามหลังตลาดในภาพรวม ในส่วนของตราสารหนี้ (Fixed Income) พวกเขาสนใจพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนสูง (High-Yield Bonds) โดยมองว่ายังให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจและมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง แม้ว่าความแตกต่างของผลตอบแทนเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (Treasury Bonds) จะน้อยกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตก็ตาม
หุ้นมีมูลค่าสูงเต็มที่แล้ว (Stocks Fully Valued)
หลังจากการเทขายหุ้นในเดือนเมษายนที่ทำให้ราคาหุ้นร่วงลง ตลาดกลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (Mega-Cap Tech Stocks) ทำให้มูลค่าหุ้นกลับมาสูงขึ้นอีกครั้ง
ณ วันที่ 12 สิงหาคม ดัชนี Morningstar US Market มีอัตราส่วนราคาต่อมูลค่ายุติธรรม (Price/Fair Value Ratio) อยู่ที่ 1.01 ซึ่งหมายความว่าหุ้นโดยรวมซื้อขายอยู่ที่ระดับพรีเมียม 1% จากมูลค่าประเมินที่เหมาะสม (Fair Value)
ในช่วงจุดต่ำสุดของการเทขายในเดือนเมษายน หุ้นซื้อขายที่ระดับส่วนลดถึง 16% และในเดือนกรกฎาคม ซื้อขายที่พรีเมียมสูงสุดถึง 4%

เมื่อราคาหุ้นสูง และส่วนต่างของผลตอบแทน (spreads) แคบลง ตลาดก็มีพื้นที่จำกัดในการฟื้นตัวจากแรงกระแทกที่ไม่คาดคิด "ในระดับราคาที่ซื้อขายกันอยู่ตอนนี้ ตลาดไม่ได้ให้ ‘margin of safety’ หรือความปลอดภัยเพิ่มเติมใด ๆ แก่นักลงทุน เพื่อชดเชยต่อความเสี่ยงมากมายที่รออยู่ข้างหน้า"
เดฟ เซเกอรา หัวหน้านักกลยุทธ์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ของ Morningstar เขียนไว้ในบทวิเคราะห์แนวโน้มเดือนสิงหาคม
ความเสี่ยงที่กล่าวถึง ได้แก่
- การเจรจาภาษีศุลกากรที่ยังไม่แน่นอน
- การเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
- อัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
ส่วนต่างของพันธบัตรแคบลง (Bond Spreads Narrow)
ไม่ใช่แค่หุ้นเท่านั้นที่มีราคาสูงเกินมูลค่า — ในตลาดตราสารหนี้ ส่วนต่างผลตอบแทนระหว่างพันธบัตรที่มีอายุไถ่ถอนใกล้เคียงกันแต่ความน่าเชื่อถือแตกต่างกันก็ดูจะแคบลงเช่นกัน (tight credit spreads)
เมื่อส่วนต่างแคบลง หมายความว่านักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่า พันธบัตรที่มีความเสี่ยงสูงจะไม่ผิดนัดชำระหนี้ (default) ซึ่งเป็นสัญญาณบวกเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทต่าง ๆ และสุขภาพโดยรวมของเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม มันยังหมายถึงว่า โอกาสในการได้ผลตอบแทนเพิ่มเติม (upside) ของนักลงทุนพันธบัตรองค์กรนั้นจำกัด และยังทำให้นักลงทุนต้องเผชิญกับสิ่งที่นักวิเคราะห์เรียกว่า “asymmetric returns” — คือความเสี่ยงมีแนวโน้มไปทางขาลงมากกว่าขาขึ้น

ในช่วงห้าเดือนที่ผ่านมา ส่วนต่างของผลตอบแทนระหว่างพันธบัตรองค์กรที่ได้รับเรตติ้ง BBB และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่มีอายุใกล้เคียงกัน ได้ลดลงจาก 1.49 จุดเปอร์เซ็นต์ เหลือน้อยกว่า 1 จุดเปอร์เซ็นต์แล้ว
หุ้นประเภทใดน่าซื้อตอนนี้?
แม้ตลาดโดยรวมจะมีมูลค่าสูง แต่นักวิเคราะห์ก็ระบุว่ายังมี “จุดที่น่าสนใจ” ให้ลงทุนอยู่บ้าง
หุ้นขนาดเล็ก (Small-Cap) ยังคงมีมูลค่าต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐาน เช่นเดียวกับบางส่วนของตลาดต่างประเทศ และบางกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีน้อยกว่า
ในตลาดตราสารหนี้ (Fixed-Income) นักวิเคราะห์มองว่าพันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนสูง (High-Yield Bonds) ยังคงน่าสนใจ เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ ยังมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และอัตราผลตอบแทนก็ยังอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับอดีต
ผู้จัดการกองทุนยังเน้นถึงความสำคัญของการคัดเลือกลงทุนเป็นรายหลักทรัพย์ (Individual Names) โดยมองหาบริษัทที่มีศักยภาพเหนือกว่าคู่แข่ง
ด้านล่างนี้คือรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับจุดที่นักกลยุทธ์ชั้นนำบางรายมองว่าเป็นโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจในตอนนี้
หุ้นคุณค่า (Value Stocks)
เนื่องจากหุ้นเทคโนโลยีและหุ้นเติบโต (Growth Stocks) ในตลาดสหรัฐฯ กำลังมีราคาสูงเกินมูลค่า นักกลยุทธ์ Dave Sekera จาก Morningstar จึงแนะนำให้น้ำหนักการลงทุนไปยังหุ้นคุณค่า (Value Stocks) ซึ่งขณะนี้ซื้อขายอยู่ที่ราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมประมาณ 7%
ในทางตรงกันข้าม เขาแนะนำให้ลดน้ำหนักในหุ้นเติบโต ซึ่งปัจจุบันซื้อขายที่ราคาสูงกว่ามูลค่ายุติธรรมถึง 16%
แม้ในช่วงต้นปี หุ้นคุณค่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าทั้งหุ้นเติบโตและตลาดโดยรวม แต่หลังจากตลาดเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน หุ้นคุณค่ากลับเริ่มตามไม่ทัน
- ดัชนี Morningstar US Growth Index ให้ผลตอบแทน 24.5% ตั้งแต่วันที่ 9 เม.ย.
- ดัชนีตลาดรวม (US Market Index) เพิ่มขึ้น 18.9%
- ขณะที่ดัชนีหุ้นคุณค่า (US Value Index) เพิ่มขึ้นเพียง 9.5%
หุ้นต่างประเทศ (International Stocks)
Charles Shriver จาก T. Rowe Price ชี้ว่า หุ้นต่างประเทศเป็นอีกหนึ่งโอกาสน่าลงทุน โดยเฉพาะตลาดยุโรปที่มีมูลค่าน่าสนใจและได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายการเงินผ่อนคลาย รวมถึงมาตรการกระตุ้นการคลังที่น่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในปีหน้า ภายในพอร์ตหุ้นต่างประเทศ เขาเห็นโอกาสในหุ้นคุณค่า เช่น กลุ่มการเงิน และหุ้นขนาดเล็กในต่างประเทศ (International Small Caps)
หุ้นขนาดเล็ก (Small-Cap Stocks)
ในตลาดสหรัฐฯ Sekera ยังคงเห็นโอกาสในหุ้นขนาดเล็ก โดยระบุว่า “หุ้นกลุ่มนี้ยังดูน่าสนใจมาก”
กลุ่มหุ้นขนาดเล็กกำลังซื้อขายอยู่ที่ราคาต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมถึง 16% ตามการประเมินของ Morningstar เขาเตือนว่า หุ้นขนาดเล็กอาจต้องใช้เวลาฟื้นตัว เนื่องจากมักจะทำผลงานดีในช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากภาวะถดถอย
ดัชนี Morningstar US Small Cap Index ให้ผลตอบแทนเพียง ~5% นับตั้งแต่ต้นปี ซึ่งต่ำกว่าตลาดรวมที่ให้ผลตอบแทน 10% และยังตามหลังตลาดทุกปีนับตั้งแต่ปี 2022
พันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนสูง (High-Yield Bonds)
แม้ในตลาดตราสารหนี้จะหาความคุ้มค่าที่ชัดเจนได้ยากขึ้น แต่ผู้จัดการกองทุนหลายรายยังมองว่า พันธบัตร High-Yield ยังคงน่าสนใจ Charles Shriver จาก T. Rowe Price กล่าวว่า ทีมของเขายังคงให้น้ำหนักมากกับพันธบัตรกลุ่มนี้ แม้จะมีความเสี่ยงสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลและพันธบัตรเกรดลงทุน แต่เขายังมองว่าพื้นฐานทางเครดิตยังแข็งแกร่ง
เขาเน้นว่า การเลือกลงทุนแบบมีการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่านักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับไว้