ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญของปีนี้เลยทีเดียวสำหรับการออกมาชุมนุมประท้วงของชาวฮ่องกงเพื่อต่อต้านกฎหมายการส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปยังประเทศจีน ซึ่งชาวฮ่องกงมองว่าจะส่งผลต่อสิทธิเสรีภาพของพวกเขา จึงมีการชุมนุมมาอย่างต่อเนื่องและนำไปสู่การเรียกร้องประชาธิปไตย
มาถึงจุดนี้นักลงทุนอาจสงสัยหรือกังวลว่ากองทุนรวมไทยจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้บ้างหรือไม่ ในช่วงแรกของการประท้วง ดัชนี Hang Seng (HSI) ยังไม่ได้รับผลกระทบเท่าใดนัก มีการปรับตัวขึ้นช่วงต้นเดือนเมษายนและทรงตัวมาจนช่วงเดือนพฤษภาคมที่มีการปรับตัวลง และในสัปดาห์ที่ผ่านมามีการปรับตัวลงไปอยู่ที่ระดับ 25,281 จุด หรือเป็นจุดต่ำสุดตั้งแต่วันที่ 3 มกราคมปีนี้
ทางด้านกองทุนรวมไทยที่มีการลงทุนในตลาดฮ่องกงนั้น จะอยู่ในกลุ่ม China Equity ซึ่งเป็นกลุ่มที่รวมกองทุนที่มีการลงทุนในหุ้นประเทศจีนหรือฮ่องกงจำนวน 40 กองทุน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 4.2 หมื่นล้านบาท โดย 28 กองทุนเป็นการลงทุนแบบ feeder fund หรือการลงทุนไปที่กองทุนหลักกองเดียว
ในจำนวน 28 กองทุนนี้มีทั้งแบบที่ลงทุนใน China A-share (หุ้นบริษัทจีนที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์จีน) และ China H-share (หุ้นบริษัทจีนที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง) โดยนักลงทุนสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ในหนังสือชี้ชวนกองทุนในส่วนของนโยบายว่าลงทุนอย่างไร หากเป็นการลงทุนในกองทุนหลักเพียงกองทุนเดียวก็สามารถดูรายชื่อกองทุน Master fund ตามตารางด้านล่างนี้
ที่มา: Morningstar Direct ข้อมูลผลตอบแทนถึงวันที่ 20 สิงหาคม, มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ ณ 31 กรกฎาคม 2019
หากดูข้อมูล China A % (ซึ่งเป็นการบอกสัดส่วนการลงทุนหุ้น A-share) และผลตอบแทน (ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงวันที่ 20 สิงหาคม) พบว่ากองทุนที่ลงทุนใน A-share เป็นสัดส่วนหลักมีผลตอบแทนที่ดีกว่าตามภาวะตลาดหุ้นจีน และหากมาดูที่มูลค่าการลงทุนใน Master fund 3 อันดับแรกจะพบกว่าเป็นการลงทุนในตลาดฮ่องกงรวม 2 หมื่นล้านบาทหรือเกือบครึ่งหนึ่งของมูลค่าทรัพย์สินของกลุ่ม
อย่างไรก็ตามการมีสัดส่วนหุ้น A-Share น้อยไม่ได้หมายความว่าจะมีความเสี่ยงจากสถานการณ์ในฮ่องกงมาก เพราะ H-Share คือหุ้นบริษัทจีนที่ซื้อขายในตลาดฮ่องกง ดังนั้นปัจจัยเสี่ยงจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับภาวะตลาดฮ่องกงทั้งหมด
กองทุนอีกกลุ่มหนึ่งที่นักลงทุนอาจกังวลว่าจะได้รับผลกระทบเช่นกันคือกลุ่มกองทุนที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศ หรือ Property - Indirect Global ในปัจจุบันมีจำนวน 30 กองทุน มูลค่าทรัพย์สินสุทธิราว 9.7 หมื่นล้านบาท รูปแบบการลงทุนอาจเป็นการลงทุนใน REIT หุ้น หรือลงทุนผ่าน feeder fund
จากกราฟแสดงสัดส่วนการลงทุนฮ่องกงและสิงคโปร์ หากดูเฉพาะในส่วนของกองทุนที่มีการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงจะมีทั้งหมด 19 กองทุน อสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนจะเป็นประเภทอาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า หรือที่อยู่อาศัย เป็นต้น มีสัดส่วนการลงทุนตั้งแต่ 0.3%-35.9% ของพอร์ต แต่โดยส่วนใหญ่มีสัดส่วนที่ไม่สูงนัก (จากจุดแสดงตำแหน่งตามแนวแกนนอน) หรือโดยเฉลี่ย 8.7% ของพอร์ต (ข้อมูล ณ 31 มีนาคม 2019) ในขณะที่ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่ค่อนข้างได้รับความนิยมสำหรับกองทุนกลุ่มนี้ จากทั้งหมด 30 กองทุนของกลุ่ม Property - Indirect Global ที่ได้กล่าวไปตอนต้น ซึ่งมีกองทุนลงที่ทุนในสิงคโปร์จำนวน 23 กองทุน โดยมีสัดส่วนการลงทุนตั้งแต่ 1.5% ถึง 58.1% หรือ เฉลี่ย 31.2% ของพอร์ต
แม้ว่ายังไม่มีใครทราบได้ว่าสถานการณ์ในฮ่องกงจะจบลงเช่นไร แต่สิ่งที่นักลงทุนสามารถทราบได้คือพอร์ตการลงทุนของตัวเอง ฉะนั้นการศึกษาข้อมูลกองทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้นักลงทุนเข้าใจถึงลักษณะการลงทุนและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และไม่ตื่นตระหนกไปกับสถานการณ์ต่าง ๆ