แนวทางการลงทุนในภาวะเศรษฐกิจถดถอย

ในปีนี้เราอาจจะได้ยินเรื่องความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย วันนี้มาดูมุมมองของคุณ Dan Kemp ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุนจาก Morningstar Investment Management กันค่ะว่าเขามีความเห็นอย่างไร

Morningstar 27/08/2562
Facebook Twitter LinkedIn

ช่วงปีที่ผ่านมานี้ถือได้ว่าเป็นช่วงสำคัญของภาวะเศรษฐกิจโลกก็ว่าได้ จากหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่น trade war ที่ทางสหรัฐฯ ก็กลับมาประกาศขึ้นภาษีสินค้าจีนอีกครั้ง ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงค่อนข้างแรง ทางฝั่งยุโรปก็ยังมี Brexit ที่ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะเป็นในรูปแบบใด และในสัปดาห์ที่แล้วเยอรมันได้มีการออกพันธบัตรรัฐบาล 0% อายุ 30 ปีซึ่งหมายความว่าผู้ถือพันธบัตรจะได้รับเพียงเงินมูลค่าหน้าตั๋วคืน ณ วันไถ่ถอน โดยถือเป็นทางเลือกหนึ่งในการรักษาทรัพย์สินของผู้ลงทุนในสภาวะการลงทุนมีความเสี่ยงสูง

เหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลต่อความกังวลว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) และมีสัญญาณจาก inverted yield curve ที่มีการพูดถึงอย่างต่อเนื่อง วันนี้ทางมอร์นิ่งสตาร์จะนำบางช่วงของบทสัมภาษณ์คุณ Dan Kemp ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุนจาก Morningstar Investment Management เกี่ยวกับเรื่องนี้กันค่ะ

ทำไมเราจึงพูดถึง Recession กันมากในช่วงนี้

คุณ Dan Kemp มีมุมมองว่าเมื่อเราเห็นตัวบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจชะลอตัวลงในช่วงนี้ คนทั่วไปก็อาจจะคาดการณ์ไปถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งหมายถึงการเติบโตที่ติดลบที่มักจะกินระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน และนักลงทุนโดยทั่วไปจะถูกสอนให้กลัวเศรษฐกิจถดถอย ส่วนหนึ่งอาจมาจากประสบการณ์ในอดีตช่วงปี 2008-2009 ที่อาจส่งผลต่ออารมณ์และการตัดสินใจที่ผิดผลาดได้

Inverted yield curve คืออะไร มีความสำคัญอย่างไร

ความหมายของ Inverted yield curve นั่นก็คืออัตราผลตอบแทนจากพันธบัตรระยะยาว (อายุ 10 ปี) นั้นต่ำกว่าพันธบัตรระยะสั้น (2 ปี) ซึ่งโดยปกติแล้วนักลงทุนจะให้รัฐบาลยืมเงินในรูปแบบการซื้อพันธบัตรรัฐบาลโดยระยะเวลายิ่งยาวผลตอบแทนก็จะยิ่งสูง นั่นเป็นเพราะว่าในระยะยาวนั้นนักลงทุนจะต้องรับกับความเสี่ยงต่าง ๆ เช่น เงินเฟ้อ ไปจนถึงความสามารถในการจ่ายเงินคืนของรัฐซึ่งก็จะสะท้อนในเส้นอัตราผลตอบแทน

ในสถานการณ์ปัจจุบันนั้นมีช่วงที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของสหรัฐฯนั้นต่ำกว่าพันธบัตรอายุ 2 ปีซึ่งในอดีตที่ผ่านมาถือได้ว่าเป็นตัวบ่งชี้ถึงสภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่จะมาถึง อย่างไรก็ตามทางคุณ Dan มองว่าการลงทุนนั้นไม่ใช่เพียงการดูตัวบ่งชี้ที่มักจะพูดถึงภาพกว้าง ๆ และถ้าหากสมมติว่าตัวบ่งชี้นั้นสามารถบอกถึงอนาคตได้จริง สิ่งสำคัญคือเราจะสามารถทราบผลตอบแทนของแต่ละประเภททรัพย์สินได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นเราจะเห็นได้ว่า Inverted yield curve เกิดขึ้นเพียงช่วงสั้น ๆ และไม่ควรให้ความสนใจมากเกินไปแต่ควรมองหาโอกาสการลงทุนมากกว่า

อัตราดอกเบี้ยต่ำ - สาเหตุและผลกระทบ

รัฐบาลสหรัฐฯในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาสร้างแรงกดดันให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำทั้งจากการลดอัตราเบี้ยและการดำเนินนโยบาย Quantitative easing หรือที่เราเรียกกันว่า QE ในรูปแบบของการซื้อพันธบัตรส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยต่ำลง ในขณะเดียวกันอาจทำให้ประชาชนทั่วไปได้รับดอกเบี้ยติดลบจากการออมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นในแบบดอกเบี้ยที่ติดลบจริง ๆ หรือคิดจากอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงโดยได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อ ฉะนั้นประชาชนทั่วไปจึงหันไปมองหาการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนที่สูงกว่า แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือความต้องการผลตอบแทนที่สร้างแรงกดดันต่ออัตราผลตอบแทนระยะที่ยาวกว่าไปจนถึงทำให้ราคาหุ้นในตลาดสูงขึ้น และเมื่อราคาหลักทรัพย์ต่าง ๆ แพงขึ้นก็จะทำให้ผลตอบแทนที่จะได้รับต่ำลง ดังนั้นเราจึงมองว่าเป็นช่วงที่ไม่ควรรับความเสี่ยงมากนัก

และสุดท้ายคุณ Dan Kemp ได้ฝากนักลงทุนว่าควรแบ่งเวลาและให้ความสำคัญมากขึ้นกับการตรวจสอบและประเมินสินทรัพย์ที่นักลงทุนถืออยู่หรือมองหาผู้แนะนำการลงทุนที่ดีเป็นผู้ช่วย เน้นมองภาพการลงทุนและผลตอบแทนระยะยาวแทนการให้ความสำคัญกับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ข่าว ทวีตข้อความของโดนัลด์ ทรัมป์ หรือสัญญาณใด ๆ ที่มากเกินไป เพราะไม่เช่นนั้นอาจทำให้นักลงทุนตัดสินใจผิดพลาดในระยะสั้นแต่ส่งผลในระยะยาว

 

 

Facebook Twitter LinkedIn

About Author

Morningstar