ก่อนตัดสินใจซื้อหุ้น เราควรดูอะไร?

มาทำความรู้จักกับ 2 ปัจจัยหลักก่อนตัดสินใจลงทุนในหุ้น: ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในระยะยาว กับมูลค่าที่เหมาะสมของบริษัท

Facebook Twitter LinkedIn

หลายคนอาจจะคิดว่าการวิเคราะห์บริษัทเชิงลึกนั้นจำเป็นก่อนการตัดสินใจลงทุนในหุ้น แต่จริงๆแล้วการซื้อหุ้นสักตัวนั้น ปัจจัยหลักๆ 2 อย่างที่เราควรสนใจก่อนเลยก็คือ ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทในระยะยาว กับมูลค่าที่เราคิดว่าเหมาะสมของบริษัท ความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวนั้นทำหน้าที่คล้ายกับตัวชี้วัดคุณภาพว่าบริษัทจะสามารถดำเนินธุรกิจและสร้างกำไรในระยะยาวได้หรือไม่ ส่วนการประเมินมูลค่านั้นคือการมองไปในอนาคตแล้วคิดว่าบริษัทควรจะมีมูลค่าเท่าไร และเมื่อเทียบกับราคาตลาดแล้วเป็นอย่างไร

ความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวหามาได้อย่างไร?

โดยทั่วไป ธุรกิจที่มีความสามารถในการแข่งขันคือธุรกิจที่สามารถสร้างกำไรส่วนเกินได้มากกว่าเงินที่ลงทุนไป แต่สำหรับทางมอร์นิ่งสตาร์นั้นเราได้มองลึกลงไปในตัวธุรกิจด้วยเพื่อหาว่ากำไรส่วนเกินนั้นมาได้อย่างไรและธุรกิจเองจะสามารถรักษากำไรส่วนเกินนั้นได้นานหรือไม่ วิธีนี้จะช่วยให้เราเห็นถึงความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวของธุรกิจ หรือที่รู้จักว่า Economic Moat โดยธุรกิจที่มี Economic Moat ตามวิธีของมอร์นิ่งสตาร์แบ่งออกเป็น 5 แบบ คือ

  1. ธุรกิจที่มีเครือข่าย (Network Effect) คือ ธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากการที่มีผู้ใช้เพิ่มขึ้น ยิ่งคนใช้มากขึ้น ธุรกิจยิ่งได้ประโยชน์จากเครือข่ายมากขึ้น เช่น eBay ที่เป็นที่นิยมในการซื้อของออนไลน์ สาเหตุที่คนเข้าไปซื้อของใน eBay มากก็เป็นเพราะว่ามีคนเข้ามาขายมากและ eBay ก็ได้ประโยชน์จากการที่มีคนเข้ามาซื้อขายของมากขึ้นทำให้ดึงดูดผู้ใช้ใหม่เพิ่มขึ้น
  2. ธุรกิจที่มีความได้เปรียบด้านต้นทุน (Cost Advantage) คือ ธุรกิจที่สามารถผลิตสินค้าได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่ง โดยอาจมาจากการผลิตใช้ต้นทุนต่ำกว่า ทำเลที่ดีกว่า หรือขนาดการผลิตที่ใหญ่กว่า ปัจจัยเหล่านี้จะสำคัญมากสำหรับธุรกิจที่อยู่ในตลาดที่ราคาคือปัจจัยหลักที่ผู้บริโภคใช้ในการตัดสินใจซื้อสินค้า
  3. ธุรกิจที่มีสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน (Intangible Assets) ในที่นี้หมายถึงธุรกิจที่มียี่ห้อ สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ ที่สามารถทำให้ลูกค้ายอมจ่ายเงินที่มากขึ้นเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการที่ไม่ได้แตกต่างไปจากสิ่งที่คู่แข่งในตลาดมี เช่น Starbucks ร้านกาแฟที่หลายคนรู้จักดีและยอมที่จะจ่ายเงินหลักร้อยเพื่อซื้อกาแฟร้านนี้
  4. ธุรกิจที่อยู่ในตลาดที่มีขนาดจำกัด (Efficient Scale) คือ ธุรกิจที่อยู่ในตลาดที่ผู้ให้บริการเพียงรายเดียว (หรือน้อยราย) สามารถให้บริการได้ครอบคลุมทั่วถึงทั้งตลาด ตลาดแบบนี้จะทำให้คู่แข่งไม่มีแรงจูงใจที่จะเข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดเพราะโอกาสทำกำไรค่อนข้างจำกัด เช่น ธุรกิจสนามบินที่ในแต่ละเมืองมักจะมีสนามบินเพียงแห่งเดียวก็พอสำหรับผู้ใช้บริการ 
  5. ธุรกิจที่ทำให้ผู้บริโภคเกิดค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนหากต้องการย้ายไปใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการของผู้ค้ารายอื่น (Switching Cost)  ต้นทุนในที่นี้จะรวมถึงต้นทุนเวลาด้วยทั้งเวลาที่ต้องใช้ในการย้ายและเวลาที่ใช้ในการเรียนรู้วิธีใช้ใหม่ เช่น ธุรกิจด้านซอฟท์แวร์ที่ผู้ใช้บริการอาจจะไม่ชอบฟังก์ชั่นการใช้งานบางอย่าง แต่ตัวซอฟท์แวร์นั้นได้ถูกติดตั้งเข้ากับระบบทั้งบริษัทแล้วก็ทำให้ยากที่จะเปลี่ยน และผู้ใช้ก็ไม่รู้ว่าหากเปลี่ยนไปใช้ของเจ้าอื่นแล้วจะดีกว่าเดิมหรือไม่ แถมยังต้องเรียนรู้วิธีใช้งานใหม่อีกด้วย

 

การประเมินราคาที่เหมาะสม (intrinsic value) สำคัญอย่างไร?

การประเมินมูลค่าหุ้นนั้นส่วนใหญ่จะใช้วิธีคิดลดกระแสเงินสด โดยคาดการณ์เงินสดที่ธุรกิจจะสามารถสร้างได้ในอนาคตอย่างน้อย 5-10 ปีและคิดลดมาให้เป็นราคาที่เหมาะสม การประเมินมูลค่าหุ้นจะช่วยให้เรารู้ว่าธุรกิจนั้นยังน่าลงทุนอยู่หรือไม่ เราจะซื้อก็ต่อเมื่อราคาตลาดถูกกว่าราคาที่เราประเมินและจะขายเมื่อราคาตลาดสูงกว่าราคาประเมิน อีกสิ่งหนึ่งที่เราควรจะสนใจสำหรับการประเมินมูลค่าหุ้น ก็คือกระแสเงินสดที่ธุรกิจจะสามารถสร้างได้ในอนาคตนั้นมีความแน่นอนมากน้อยเพียงใด หากธุรกิจนั้นง่ายต่อการคาดการณ์กระแสเงินสดในอนาคต เราอาจจะต้องการมูลค่าส่วนต่างระหว่างราคาตลาดกับราคาที่เหมาะสม (Margin of Safety) ไม่มากเราก็ยินดีที่จะตัดสินใจซื้อ แต่หากธุรกิจนั้นมีความไม่แน่นอนสูง กระแสเงินสดขึ้นลงหวือหวา การประเมินราคาที่เหมาะสมอาจจะเป็นเรื่องยาก เราจึงควรมองหาส่วนต่างของราคาที่กว้างขึ้นเพื่อที่จะมาชดเชยความไม่แน่นอนนี้

แน่นอนว่าปัจจัยหลักๆ 2 ข้อนี้ไม่สามารถการันตีได้ว่าเราจะได้ผลตอบแทนเป็นบวกตลอดเวลาในทุกภาวะของตลาด โอกาสที่ผลตอบแทนในระยะสั้นจะเป็นลบถึงแม้จะลงทุนในธุรกิจที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันก็อาจเป็นได้เช่นกัน แต่เราต้องไม่ลืมว่า เรากำลังสนใจมูลค่าที่เหมาะสมของบริษัทผ่านความสามารถในการแข่งขันที่จะช่วยให้บริษัททำกำไรได้ในระยะยาว จุดนี้เองที่จะช่วยให้เราประเมินธุรกิจด้วยปัจจัยพื้นฐานมากกว่าสิ่งที่ตลาดบอกว่ามันจะเป็นในระยะสั้นๆ

Facebook Twitter LinkedIn

About Author

Morningstar Analysts   -