เริ่มต้นลงทุนกองทุนรวมตราสารหนี้

ก่อนหน้านี้เราได้ดูวิธีการเลือกกองทุนรวมหุ้นไทยกันไปแล้ว วันนี้เรามาดูกันค่ะว่าหากจะลงทุนกองทุนรวมตราสารหนี้นั้นมีปัจจัยใดที่ควรคำนึงถึงกันบ้าง

Morningstar 26/12/2561
Facebook Twitter LinkedIn

กองทุนรวมตราสารหนี้เป็นกองทุนรวมความเสี่ยงต่ำประเภทหนึ่งซึ่งจะลงทุนในตราสารหนี้ประเภทต่างๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ภาคเอกชน หรือตราสารหนี้ต่างประเทศ เป็นต้น ซึ่งแต่ละประเภทก็จะมีระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้นั้นมีปัจจัยความเสี่ยงหลักที่เกี่ยวข้องคือ

- Interest rate risk หรือความเสี่ยงที่เกิดจากอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนไป โดยจะใช้ Duration ในการพิจารณาความเสี่ยงประเภทนี้ ซึ่ง Duration นี่ก็คือ อายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ (มีหน่วยเป็นปี) ซึ่งจะใช้บอกถึงความอ่อนไหวของราคาตราสารหนี้ที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย หมายความว่า Duration ที่สูงกว่า ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยก็จะมากกว่า Duration ต่ำๆ นั่นเอง

- Credit risk หรือ Default risk หรือความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกตราสาร ซึ่งจะใช้เครดิตเรตติ้งในการพิจารณา แบ่งเป็น Investment Grade (AAA ถึง BBB) และ Non-Investment Grade (ต่ำกว่า BBB) สำหรับกองทุนที่ขายให้นักลงทุนทั่วไปส่วนใหญ่นั้นจะลงทุนในตราสาร Investment Grade (ยกเว้นกลุ่ม High Yield Bond ที่มีขายให้นักลงทุนเฉพาะกลุ่มที่รับความเสี่ยงสูงได้)

รูปแบบกองทุนรวมตราสารหนี้ สามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ดังนี้

- กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น จะเป็นกลุ่มที่มี Duration 1-2 ปี (ตามนิยาม Morningstar) ด้วยอายุตราสารที่สั้นทำให้มีความเสี่ยงต่อผู้ลงทุนต่ำ แต่ก็จะทำให้มีผลตอบแทนต่ำตามไปด้วย

- กองทุนรวมตราสารหนี้ระยะกลาง-ยาว จะเป็นกลุ่มที่มี Duration มากกว่า 2 ปี (ตามนิยาม Morningstar) ซึ่งจะมีความเสี่ยงที่สูงกว่ากองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น ทำให้มีผลตอบแทนที่สูงกว่า ซึ่งเป็นไปตามหลักการ Yield Curve ที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างผลตอบแทน (Yield) กับอายุตราสารหนี้ ยิ่งอายุตราสารยาว จะมีความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงมากกว่า จึงทำให้ Yield ยิ่งสูงนั่นเอง

- กองทุนรวมตราสารหนี้แบบกำหนดอายุ หรือที่เรียกกันว่า Term Fund คือกองทุนตราสารหนี้ที่มีการระบุประมาณการผลตอบแทนและกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน เช่น 6 เดือน หรือ 1 ปี เป็นต้น จึงทำให้กองทุนประเภทนี้เป็นที่นิยมค่อนข้างสูงในอดีต

- กองทุนรวมตราสารหนี้ต่างประเทศ ลงทุนในตราสารหนี้หลากหลายประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบของการลงทุนในกองทุนหลัก (Master Fund) ในต่างประเทศเพียงกองเดียว อย่างไรก็ตามนักลงทุนควรเปรียบเทียบว่ากองทุนที่เราจะลงทุนนั้นมีกองทุนตราสารหนี้ใดจาก บลจ. อื่นที่ลงทุนในกองทุนหลักกองเดียวกันบ้าง เพราะอาจให้ผลตอบแทนหรือเก็บค่าธรรมเนียมที่ไม่เท่ากัน นอกจากนี้ยังควรดูด้วยว่ามีการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Hedging) ด้วยหรือไม่ หากไม่มีก็จะทำให้มีความผันผวนสูงกว่าแบบไม่มี Hedging แต่จะมีค่าธรรมเนียม (Currency Hedging Cost) ที่ต้องพิจารณาเพิ่มเติม

ปัจจัยที่มีผลกระทบกับกองทุนรวมตราสารหนี้ มีตัวอย่างดังต่อไปนี้

- อัตราดอกเบี้ย โดยปกติแล้วราคาตราสารหนี้จะแปรผกผันกับอัตราดอกเบี้ย หมายความว่า หากอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจะทำให้ราคาตราสารหนี้ต่ำลง ยกตัวอย่างเช่น ตราสารหนี้อายุ 3 ปี ให้ผลตอบแทน 2% และในปีถัดไปมีการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในตลาด ทำให้ตราสารหนี้รุ่นใหม่ที่มีลักษณะเดียวกันให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ทำให้ตราสารหนี้รุ่นเก่ามีความน่าสนใจน้อยลงจึงสะท้อนในราคาจากการ Mark-to-Market

- Portfolio Duration ของกองทุนรวมตราสารหนี้ หมายถึงค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักของ Duration ของตราสารหนี้ในแต่ละกองทุน ซึ่งมักใช้ในการดูว่ากองทุนรวมตราสารหนี้นั้นๆ มีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด โดยกองทุนที่มี Portfolio Duration มากกว่า ก็จะมีความเสี่ยงจากการอัตราดอกเบี้ยมากกว่าตามที่กล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญของกองทุนจะแสดงข้อมูลอายุเฉลี่ยของทรัพย์สินที่ลงทุนอยู่ในหมวดปัจจัยความเสี่ยง

- เครดิตเรตติ้ง หรือการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ในหนังสือชี้ชวนส่วนสรุปข้อมูลสำคัญจะมีการแสดงข้อมูลต่างๆ ที่ได้กล่าวไปแล้วเช่น อายุเฉลี่ยของตราสารหนี้ อัตราผลตอบแทน รวมทั้งเครดิตเรตติ้งของตราสารที่กองทุนถืออยู่ ซึ่งจะมีการบอกว่ากองทุนลงทุนในตราสารแต่ละอันดับในสัดส่วนเท่าใดบ้าง  การปรับลดเรตติ้งของตราสารหนี้นั้น มักเป็นผลจากโอกาสการผิดนัดชำระหนี้ที่สูงขึ้นจากสถานการณ์ด้านการเงินของผู้ออกตราสารนั้นแย่ลง เรตติ้งที่ลดลงจะทำให้ตราสารนั้นๆ มีความน่าสนใจน้อยลง มูลค่าลดลง และมีอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยต่อความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

ในสถานการณ์ปัจจุบันนักลงทุนหลายท่านอาจกังวลเกี่ยวกับดอกเบี้ยขาขึ้นที่จะกระทบกับกองทุนรวมตราสารหนี้ที่ลงทุนอยู่ และอาจเห็นการปรับตัวลงของผลตอบแทนกองทุนตราสารหนี้ไปบ้าง จนอาจต้องการหลีกเลี่ยงการลงทุนกองทุนรวมตราสารหนี้ อย่างไรก็ตามการลงทุนในตราสารหนี้ยังคงเป็นส่วนสำคัญในการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน และนักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อผลตอบแทนในระยะยาวมากกว่าความผันผวนของตลาดในระยะสั้นนะคะ

Facebook Twitter LinkedIn

About Author

Morningstar