หุ้น Magnificent Seven

อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นกำลังบั่นทอนการเติบโตและความเชื่อมั่นของนักลงทุน แต่นักกลยุทธ์หลายคนยังเชื่อว่าหุ้นยักษ์ใหญ่เหล่านี้จะยังเป็นสวรรค์สำหรับนักลงทุนท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจ

หุ้น Magnificent Seven ประกอบด้วย Nvidia (NVDA), Tesla (TSLA), Meta Platforms (META), Apple (AAPL), Amazon.com (AMZN), Microsoft (MSFT), and Alphabet (GOOGL) เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงครึ่งแรกของปี เนื่องมาจากความตื่นตัวเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ โดยคิดเป็นสองในสามของดัชนี Morningstar US Market ซึ่งได้ผลตอบแทน 20.6% ตามข้อมูลจาก Morningstar Direct

อย่างไรก็ดี นับตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมเป็นต้นมา หุ้นทั้ง 7 ตัวก็เปลี่ยนไปอยู่ในแดนลบ โดยหุ้นที่ขาดทุนมากที่สุดมาจาก Tesla ซึ่งขาดทุนไป 23% หลังจากทะยานขึ้น 117% ระหว่างเดือนมกราคมถึงกรกฎาคม มีแค่ Microsoft ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม คือ  -2.2%

ไม่เพียงเท่านั้น หุ้นทั้งเจ็ดตัวนี้กำลังลากหุ้นที่เหลือของตลาดลงมาด้วย ซึ่งเมื่อรวมกันแล้ว การปรับลงของ Magnificent Seven เป็นเหตุผลสำคัญที่ดัชนีตลาดของ Morningstar U.S. ปิดตัวลงเข้าสู่โหมดของการปรับฐาน ซึ่งลดลง 10% จากระดับสูงสุดในวันที่ 31 กรกฎาคมของปีนี้

กองทุนกลุ่ม Global Technology

สำหรับกองทุนในประเทศไทย แม้ว่ากลุ่มกองทุน Global Technology จะยังคงรั้งตำแหน่งกองทุนที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุดตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน YTD +15.05% แต่ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านก็ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการปรับตัวลงของ หุ้น Magnificent Seven เช่นกัน โดยมีผลตอบแทนติดลบสูงถึง -15.85% และมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิปิดที่ 5.1 หมื่นล้านบาท ลดลงราว -10% จากสิ้นเดือนกรกฏาคม

ทั้งนี้กลุ่มกองทุน Global Technology มีมูลค่าเงินไหลเข้าสุทธิตั้งแต่ต้นปีราว 1,500 ล้านบาท และเป็นเงินไหลเข้าติดต่อกัน 4 เดือนล่าสุด (กรกฎาคม – ตุลาคม) ประมาณกว่า 2,800 ล้านบาท โดย บลจ. ที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิสูงสุด ได้แก่  1. บลจ. บัวหลวง ที่ 1.7 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 33.6% ตามมาด้วย บลจ. กรุงศรี 6.9 พันล้านบาท คิดเป็น 13.5% และ บลจ. ไทยพาณิชย์ 5 พันล้านบาท คิดเป็น 9.8%

(ที่มา: Morningstar Direct ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2023)

ท่านนักลงทุนสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกองทุนกลุ่ม Global Technology ได้ที่ https://shorturl.at/pFVXY