โลกร้อนและผลต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน

สำหรับการประชุมกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือ COP28 ที่กำลังจะจัดขึ้นในเดือนนี้ หลายๆฝ่ายกำลังจับตามองถึงเป้าหมายเรื่องการลดโลกร้อน

Morningstar 22/11/2566
Facebook Twitter LinkedIn

สำหรับการประชุมกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือ COP28 ที่กำลังจะจัดขึ้นในเดือนนี้ หลายๆฝ่ายกำลังจับตามองถึงเป้าหมายเรื่องการลดโลกร้อนซึ่งมีผู้เข้าร่วมอย่างบริษัทน้ำมันแห่งชาติอาบูดาบีหรือ Adnoc เป็นประธานในงานด้วยครั้งนี้

ในเวลาเดียวกันนี้บริษัทน้ำมันอย่าง ExxonMobil ได้ประกาศเข้าซื้อกิจการ Pioneer และ Chevron เข้าซื้อกิจการ Hess ซึ่งสะท้อนว่าบริษัทเหล่านี้ยังคาดว่าอุปสงค์พลังงานยังดีและราคาน้ำมันจะยังคงสูงขึ้นอีกด้วย โดยที่ราคาเข้าซื้อกิจการได้สะท้อนถึงราคาน้ำมันที่ระดับ $70 และ $80 ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าราคาน้ำมันที่ Morningstar คาดการณ์ไว้ว่าในระยะยาวจะอยู่ที่ $60 ต่อบาร์เรล ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจหากการประชุมภาวะโลกร้อนครั้งนี้ไม่อาจหาแนวทางที่จะควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสได้

บทความนี้เราจึงมาดูทิศทางของอุปสงค์อุปทานของน้ำมันต่อจากนี้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป รวมถึงทางเลือกต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น และการเตรียมพร้อมสำหรับบริษัทพลังงานต่างๆ ทั้งนี้ Net zero หรือเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนั้นเป็นเป้าหมายที่สำคัญและเป็นความหวังของโลกอย่างมาก และเป็นที่ยอมรับทั้งในทางวิทยาศาสตร์ กลุ่มคนรุ่นใหม่ ตลอดจนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลายก็อยากให้บรรลุเป้าหมายนี้ แต่ในฐานะนักลงทุนจะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้

ภายในปี 2050 ราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับลดลงเล็กน้อย

International Energy Agency ได้ให้มุมมองต่อสถานการณ์พลังงานไว้ 3 กรณีที่อาจเกิดขึ้นได้ดังนี้

  1. กรณีที่โลกสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเข้าสู่ภาวะ Net-zero ได้นั้น ความต้องการใช้น้ำมันดิบจะต้องลดลงอย่างมหาศาลและลดการปล่อยคาร์บอนในระบบได้ภายในปี 2050
  2. หากอิงตามแผนพลังงานของรัฐบาลในปัจจุบันคาดว่าความต้องใช้น้ำมันจะลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
  3. หากเป็นตามเป้าหมายของสัญญาประชาชาติ ความต้องใช้น้ำมันจะลดลงโดยอยู่ระหว่าง 2 กรณีแรก

1

ทั้งนี้ IEA คาดว่าหากโลกเข้าสู่ภาวะ Net Zero Emissions ได้ก็จะช่วยควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสได้ในปี 2100 แต่ก็คาดว่าโอกาสที่จะสำเร็จนั้นเป็นไปได้น้อยมาก ขณะที่หากเป็นไปตามเป้าหมายของสัญญาประชาชาติก็จะช่วยควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 1.7 องศาเซลเซียส และถ้าเป็นตามแผนนโยบายพลังงานของรัฐบาลต่างๆจะช่วยควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 2.4 องศาเซลเซียส

ด้านอุปสงค์ IEA คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันภายในปี 2030 จะเพิ่มขึ้นจาก 77.5 เป็น 101.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่ภายในปี 2050 คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันจะลดลงเล็กน้อยเหลือ 97.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งสูงขึ้นเล็กน้อยจากปี 2022 ที่ 96.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ดังนั้นจึงทำให้คาดว่าโอกาสที่เราจะไปสู่ Net Zero Emissions ได้นั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก

บริษัทไหนบ้างที่เตรียมพร้อมรับมือจากความเสี่ยงเรื่องสภาพอากาศ

ความเตรียมพร้อมรับมือของบริษัทต่างๆอาจดูได้จากแนวทางในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของแต่ละบริษัทว่าเป็นอย่างไรบ้าง โดยดูได้จาก Low Carbon Transition Rating หรือ LCTR ซึ่งวัดภาระผูกพันในการที่จะลดคาร์บอนของบริษัทและการชี้วัดถึงอุณหภูมิที่จะเพิ่มขึ้น ทั้งนี้จากการวิเคราะห์ของ Morningstar พบว่าไม่มีบริษัทใดเรยที่จะทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสได้หรือก็แปลว่าไม่มีบริษัทไหนเรยที่เตรียมตัวรับมือได้ดีในการเข้าสู่ภาวะ Net Zero Emissions ได้ อย่างไรก็ดีพบว่าประมาณ 37% ของบริษัทที่ศึกษาสามารถรับมือการลดคาร์บอนและควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 2.4 องศาเซลเซียสได้

1

อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าบริษัทที่สามารถลดคาร์บอนและช่วยควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 2.4 องศาเซลเซียสได้นั้นจะปลอดภัยสำหรับการลงทุน เพราะยังมีความเสี่ยงที่อาจต้องเจอจากเรื่องอื่นๆได้อีก เช่น ไฟไหม้ป่า น้ำท่วม หรือพายุ ก็อาจทำให้เกิดผลกระทบต่อบริษัทเหล่านี้ได้เช่นกัน ดังนั้นบริษัทที่น่าลงทุนนั้นนอกจากเตรียมพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโลกแล้วยังจะต้องพร้อมรับมือกับภัยพิบัติในรูปแบบอื่นๆอีกด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้เราพบว่ามีบริษัทที่เป็นตัวอย่างที่ดีในแง่การรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิโลกที่ไม่เกิน 2.4 องศาเซลเซียส และพร้อมรับมือต่อภัยพิบัติในรูปแบบอื่นๆ รวมทั้งยังมีมูลค่าพื้นฐานที่น่าสนใจ ซึ่งได้แก่บริษัทในกลุ่มพลังงานอย่าง  TC Energy, Diamondback และ Tenaris เป็นต้น

1

แม้ว่าทุกฝ่ายจะอยากช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสภายในปี 2100 แต่คงเป็นไปได้ยากหากความต้องการใช้น้ำมันยังคงเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นการลงทุนจึงควรมองหาบริษัทที่พร้อมรับมือต่อภาวะโลกร้อนและภัยพิบัติต่างๆที่อาจเกิดขึ้นภายใต้ราคาที่เหมาะสมเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าพื้นฐานที่ควรจะเป็น

 

Facebook Twitter LinkedIn

About Author

Morningstar  Morningstar