วิสัยทัศน์และวินัยต่อการลงทุน

เชื่อว่าการมีอิสรภาพทางการเงิน ยังคงเป็นเป้าหมายหลักที่ทำให้หลายท่านตัดสินใจก้าวเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น แต่กลับมีเพียงบางรายที่สามารถบรรลุเป้าหมายนี้ เนื่องมาจากวิสัยทัศน์และลักษณะการลงทุนที่แตกต่างกัน

Facebook Twitter LinkedIn

ทุกวันนี้เรามักได้ยินคำยอดนิยมอย่าง “ติดดอย” อยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากคนส่วนใหญ่ยังคงให้ความสำคัญกับการเก็งกำไรจากส่วนต่างราคา โดยพยายามจับจังหวะการซื้อขายหุ้น มากกว่าการทำความเข้าใจพื้นฐานธุรกิจของหุ้นที่ลงทุน อันที่จริงแล้ว เราสามารถแบ่งประเภทของการลงทุนในตลาดหุ้นออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ การลงทุนแบบนักลงทุน และ การลงทุนแบบนักเก็งกำไร

สำหรับการลงทุนแบบนักลงทุน วิสัยทัศน์ต่อการลงทุนในหุ้นนั้นเปรียบเสมือนการร่วมทำธุรกิจ โดยเน้นการลงทุนกับบริษัทที่มีศักยภาพที่ดี มีโอกาสเติบโตทางธุรกิจสูง สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นในระยะยาว มากกว่าความผันผวนของราคาหุ้นรายวัน มีวินัยต่อการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ และมีความอดทนที่จะถือหุ้นในระยะยาวโดยไม่หวั่นไหวไปกับราคาหุ้นรายวัน ซึ่งต่างจากการลงทุนแบบนักเก็งกำไร ที่มีวิสัยทัศน์ต่อการลงทุนโดยมุ่งหวังทำกำไรจากส่วนต่างราคา และการลงทุนที่มีจุดขายตัดขาดทุน เป็นต้น

จะเห็นว่าวิสัยทัศน์และวินัยต่อการลงทุนของทั้งสองประเภทนั้น มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง การลงทุนแบบนักเก็งกำไร ที่มีการซื้อขายอยู่บ่อยครั้ง มักมีข้อผิดพลาดซึ่งเกิดจากการพยายามหาจังหวะซื้อขายหุ้นอยู่เสมอๆ ซึ่งอาจทำให้หลายท่านกลัวการลงทุน เป็นผลให้พลาดโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในที่สุด ดังนั้นเพื่อเป็นการลดข้อผิดพลาดดังกล่าว เราสามารถปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์และฝึกวินัยต่อการลงทุนในแบบฉบับของนักลงทุนได้ดังต่อไปนี้

  • เน้นการลงทุนระยะยาว: การเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นรายวัน มีความผันผวนค่อนข้างสูง ในตลาดหุ้นเต็มไปด้วยนักเก็งกำไรที่มุ่งเน้นการทำกำไรจากส่วนต่างของราคา ซึ่งความผันผวนของราคาในตลาดหุ้นรายวันมักจะถูกกำหนดจากปัจจัยทางอารมณ์และความคาดหวังมากกว่าปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจ 
  • หลีกเลี่ยงการคาดการณ์และจับจังหวะของตลาด: หลายท่านหวังเก็งกำไรจากการซื้อถูกขายแพง บางท่านถึงกับคอยคิดตามการคาดการณ์สภาวะตลาดหุ้นอย่างใกล้ชิด ซึ่งบ่อยครั้งที่ตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นจากปัจจัยทางอารมณ์มากกว่าเหตุผล มักทำให้เกิดข้อผิดพลาด ท้ายที่สุด นักลงทุนระดับโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยกล่าวไว้ว่า “สภาวะของตลาดจะไม่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจต่อการลงทุน เมื่อเราพบหุ้นที่มีกิจการที่เราพึงพอใจ โดยตัดสินใจซื้อหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานของตัวธุรกิจ”  นอกจากนี้ ผู้จัดการกองทุนที่โด่งดังอย่าง ปีเตอร์ ลินซ์ ก็เป็นอีกหนึ่งท่านที่ไม่เชื่อในการทำนายตลาด และเชื่อในการซื้อหุ้นที่มีธุรกิจที่ดีเยี่ยม หรือ หุ้นที่ยังไม่ได้รับความสนใจตามที่ควรจะเป็น 
  • เน้นกลยุทธ์การลงทุนอย่างเป็นระบบ: การลงทุนอย่างเป็นระบบ เป็นการลงทุนในกองทุนหรือหุ้นที่มีพื้นฐานดีในระยะยาว ด้วยการแบ่งเงินลงทุนเป็นงวดๆ งวดละเท่าๆ กัน โดยไม่คำนึงถึงราคาหุ้น อาจลงทุนเป็นรายเดือน หรือรายไตรมาส ตามความเหมาะสมของตัวนักลงทุนเอง ซึ่งการลงทุนในลักษณะนี้มีข้อดีหลักๆ คือ
    • ขจัดปัจจัยทางอารมณ์ของนักลงทุนที่มีผลกระทบต่อการตัดสินใจในการลงทุน
    • สร้างความมั่งคงในทุกโอกาสและวิกฤต เพราะการลงทุนอย่างเป็นระบบนั้น นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นได้ในจำนวนที่มากขึ้นหากราคาหุ้นนั้นมีการปรับตัวต่ำลงมา และซื้อหุ้นได้ในจำนวนที่น้อยลงเมื่อราคามีปรับตัวสูงขึ้น
    • เนื่องจากต้นทุนการลงทุนเป็นราคาเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก นักลงทุนจึงมีโอกาสที่จะขาดทุนน้อยกว่าการลงทุนด้วยเงินทั้งหมดเพียงครั้งเดียว ในภาวะที่ตลาดมีความผันผวนมาก

 

หากเปรียบการลงทุนในหุ้นเหมือนการเดินทาง ที่มีปลายทางเป็น อิสรภาพทางการเงิน หุ้นในตลาดที่มีให้เลือกอย่างมากมายนั้น เปรียบเสมือนพาหนะที่ใช้ในการเดินทาง แน่นอนว่าพาหนะที่ดีย่อมพาเราไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัย หุ้นที่มีพื้นฐานดีเหล่านี้ ก็จะสามารถพาท่านไปถึงเป้าหมายอย่างงดงามได้เช่นกัน โดยมีตัวขับเคลื่อนพาหนะที่สำคัญนั่นก็คือ วิสัยทัศน์และวินัยของตัวนักลงทุนเอง ถึงแม้ว่าระหว่างทางจะต้องพบกับสภาพอากาศที่แปรปรวนไปบ้างก็ตาม

ดังนั้น หากท่านมีวิสัยทัศน์และวินัยต่อการลงทุนแบบนักลงทุนแล้ว การศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อค้นหาหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี เหมาะแก่การลงทุนในระยะยาว ก็จะเป็นบันไดขั้นต่อไปที่นำไปสู่อิสรภาพทางการเงินได้

 

บทความโดย วุฒิชัย คงพัฒนสิริ (wuttichai.kongpattanasiri@morningstar.com)

Facebook Twitter LinkedIn

About Author

Morningstar Analysts   -