การที่หุ้น Tesla พึ่งถูกนำเข้าคำนวณในดัชนี S&P500 เมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา ทำให้เห็นได้ชัดว่าดัชนีต่างๆมีแนวทางการคัดเลือกหุ้นเข้าเป็นสมาชิกและมีการให้น้ำหนักในดัชนีที่แตกต่างกัน เนื่องจากด้วยความเป็นที่นิยมของหุ้น Tesla และมูลค่าตลาดที่ค่อนข้างสูงทำให้เราอาจนึกไปว่า Tesla น่าจะได้เป็นสมาชิกอยู่ในดัชนีต่างๆของตลาดหุ้นในสหรัฐอยู่แล้ว ที่นี้เรามาลองดูความแตกต่างของแต่ละดัชนีที่เป็น Benchmark ว่ามีการคำนวณที่แตกต่างกันอย่างไร รวมถึงผลกระทบต่อนักลงทุน
หลักเกณฑ์การคัดเลือกหุ้นของแต่ละดัชนี
จากตารางข้างล่าง แสดงให้เห็นถึงหลักเกณฑ์ต่างๆที่แต่ละดัชนีเลือกใช้ในการคัดเลือกหุ้น ซึ่งความแตกต่างในแต่ละหลักเกณฑ์ก็มีผลต่อการเลือกหุ้นและการทบทวนว่าหุ้นในนั้นจะคงอยู่หรือถูกเอาออกจากดัชนีต่อไป
การคัดเลือกหุ้น
สำหรับเกณฑ์พิจารณามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market capitalization) แต่ละดัชนีในตลาดหุ้นสหรัฐจะมีการนับที่แตกต่างกัน บ้างก็รวมเฉพาะหุ้นขนาดกลางและขนาดใหญ่ซึ่งครอบคลุมประมาณ 80-85%ของมูลค่าตลาด ซึ่งดัชนีตลาดโดยรวมตั้งใจที่จะครอบคลุมให้ได้มากถึงเกือบ 100% ของหุ้นในตลาดเพื่อให้รวมหุ้นขนาดเล็กเข้าไปในดัชนีด้วย ซึ่งมีโอกาสที่ผลตอบแทนของดัชนีจะสูงขึ้น แต่ก็ทำให้มีต้นทุนและความเสี่ยงที่สูงขึ้นด้วย เนื่องจากหุ้นขนาดเล็กมักมีสภาพคล่องต่ำและผันผวนสูง นอกจากนี้ เกณฑ์ในการเลือกหุ้นมารวมเป็นดัชนีก็แตกต่างกัน โดยเฉพาะดัชนีประเภท Large-cap เช่น CRSP U.S. Large Cap Index จะคัดเลือกหุ้นขึ้นมาให้ได้มากที่สุดเพื่อเป็นดัชนีที่ล้อตาม 85%ของ CRSP US Total Market Index ขณะที่ Russell 1000 จะเน้นหุ้นขนาดใหญ่ในสหรัฐประมาณ 560 บริษัทแรก ที่เหลืออีก 400 กว่าบริษัทจะมี Market cap. เล็กลงมา ในส่วนของ S&P500 จะใช้วิธีนับเรียงขนาด Market cap. ไล่ลงมา แต่ยังเปิดช่องให้คณะกรรมการใช้วิจารณญาณในการเลือกหลักทรัพย์เข้ามา ทำให้หลักทรัพย์ทั้ง 500 บริษัทไม่จำเป็นต้องมี Market cap.ใหญ่เสมอไปก็ได้
การทบทวนดัชนี
โดยปกติดัชนีที่คำนวณหลักทรัพย์โดยใช้วิธีถ่วงน้ำหนักหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market-cap-weighted indexes) จะมีการเปลี่ยนแปลงหลักทรัพย์ไม่เยอะมากโดยมีหุ้นเข้าออกไม่ถึง 5% ในช่วง 1 ปี ขณะที่บางดัชนีอาจพยายามลดการมีหุ้นเข้าออกบ่อยด้วยการคงสมาชิกในดัชนีไว้จนกว่าหลักทรัพย์นั้นจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ไม่ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นมา
ตัวอย่างหุ้น Tesla
หากย้อนไปเมื่อปี 2013 ช่วงนั้นหุ้น Tesla มี Market cap ประมาณ 4.3 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งยังสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของ S&P 500 ที่กำหนดเกณฑ์ Market cap ไว้ที่ 4 พันล้านดอลลาร์ แต่ Tesla กลับพึ่งได้รับคัดเลือกเข้า S&P 500 เมื่อปลายปีที่แล้ว นั่นเป็นเพราะ Tesla เพิ่งจะผ่านเกณฑ์เรื่องความสามารถในการทำกำไรนั่นเอง
ทั้งที่โดยเปรียบเทียบแล้ว Tesla ได้รับคัดเลือกให้เข้าดัชนีอื่นๆอย่างเช่น The CRSP U.S. Large Cap Index,The Dow Jones U.S. Large-Cap, Total Stock Market index ตั้งแต่เมื่อปี 2013 และหากมองตามเกณฑ์ความสามารถในการทำกำไร Tesla สามารถเข้าดัชนี The S&P Total Market, Russell 3000 และ CRSP U.S. Total Market indexes ตั้งแต่ปี 2010-2011
จากตารางด้านล่าง แสดงให้เห็นถึง Market cap และราคาหุ้นต่อยอดขาย (Price/Sales Ratio) ของหุ้น Tesla ในช่วงที่ได้เข้าดัชนีต่างๆ ซึ่งโดยเปรียบเทียบแล้วจะเห็นว่ากว่าที่ Tesla จะได้เข้า S&P500 หุ้นก็มีราคาซื้อขายที่สูงมากแล้วเมื่อเทียบกับในอดีต ดังนั้นหากหุ้นได้เข้าดัชนีเร็วเท่าใดโอกาสที่นักลงทุนจะพลาดการลงทุนในหุ้นที่ดีและราคายังต่ำก็ลดลง
อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าเกณฑ์ S&P500 จะทำให้เกิดข้อเสียเปรียบซะทีเดียว เพราะในช่วงที่เกิดวิกฤติ COVID19 ระบาดหนักตอนต้นปี 2020 ดัชนี S&P500 ยังปรับตัวได้ดีกว่าดัชนีอื่น ซึ่งเป็นเพราะหุ้นในตะกร้า S&P500 ต้องมีความสามารถในการทำกำไรจริงๆและเน้นเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่เท่านั้น จึงทำให้ผลกระทบจากความแตกตื่นของตลาดมีไม่มากต่อหุ้นเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ตลาดหุ้นฟื้นตัวพบว่าการที่ไม่มีหุ้นขนาดกลางและเล็กของ S&P500 ก็ทำให้ Performance หรือผลตอบแทนที่ได้ในช่วงดังกล่าวของ S&P500 แพ้ดัชนีอื่นเช่นกัน ซึ่งเห็นได้จากตารางด้านล่าง
และโดยรวมผลตอบแทนของกองทุนที่ลงทุนโดยอ้างอิงตามดัชนี (Passive fund) มักจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่ากองทุนที่ผู้จัดการเลือกลงทุนเอง (Active fund) เห็นได้จากในช่วงที่ตลาดผันผวนอย่างหนักในปีที่ผ่านมา มี Active fund เพียง 31% ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า Passive fund และหากย้อนหลังไป 20 ปี พบว่ามี Active fund เพียง 13% เท่านั้นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า Passive fund ทั้งนี้ ตารางด้านล่างคือตัวอย่าง Morningstar Medalists ที่อยากจะหยิบยกขึ้นมาแนะนำให้นักลงทุนได้ลองศึกษาดูกันค่ะ