กระจายพอร์ตการลงทุนของคุณ

ไม่สายเกินไปที่จะเพิ่มการลงทุนในต่างประเทศ — เหตุผลที่ดีในการกระจายพอร์ตการลงทุนของคุณ

Morningstar 09/07/2568
Facebook Twitter LinkedIn

1

แม้ว่าตลาดสหรัฐฯ อาจจะครองความสนใจของนักลงทุนในช่วงที่ผ่านมา แต่การลงทุนในตลาดต่างประเทศยังคงมีประโยชน์ เช่น การกระจายความเสี่ยง เพิ่มโอกาสในการเติบโต และลดความผันผวนจากการพึ่งพาตลาดเดียว

หลังจากใช้เวลาส่วนใหญ่ในช่วง 10–15 ปีที่ผ่านมาอยู่ในภาวะซบเซา หุ้นต่างประเทศก็เริ่มกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งในปีนี้ ณ วันที่ 2 กรกฎาคม 2025 ดัชนี Morningstar Global Markets ex-US (ซึ่งไม่รวมสหรัฐฯ) เพิ่มขึ้นถึง 18.1% เทียบกับเพียง 6.4% ของดัชนี Morningstar US Market Index

อะไรเป็นแรงผลักดันให้เกิดความตื่นตัวนี้?

ประการแรก หุ้นนอกสหรัฐฯ เข้าสู่ปี 2025 ด้วยมูลค่าต่ำกว่าหุ้นในประเทศ (Valuation ต่ำกว่า) จึงดูน่าดึงดูดกว่านอกจากนี้ นักลงทุนเริ่มหันเหความสนใจออกจากหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ (mega-cap tech stocks) ที่เคยครองตลาดสหรัฐฯ ซึ่งทำให้หุ้นต่างประเทศกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจขึ้น อีกปัจจัยสำคัญคือการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ซึ่งส่งผลให้ผลตอบแทนของหุ้นในสกุลเงินท้องถิ่นต่างประเทศมีมูลค่าสูงขึ้นเมื่อแปลงกลับเป็นดอลลาร์ แม้จะมีช่องว่างด้านผลตอบแทนระหว่างหุ้นสหรัฐฯ กับหุ้นต่างประเทศในปีนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เรายังเชื่อว่ายังไม่สายเกินไปที่จะได้รับประโยชน์จากการกระจายการลงทุนในระดับนานาชาติ

วัฏจักรผลตอบแทนในระยะยาว

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา หุ้นต่างประเทศได้ผ่านช่วงเวลาหลายปีที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าหรือด้อยกว่าหุ้นสหรัฐฯ สลับกันไป ซึ่งเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ความแตกต่างด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจ แนวโน้มของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา และการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าหุ้น (Valuation) ตัวอย่างจากกราฟด้านล่าง หุ้นต่างประเทศเคยแซงหน้าหุ้นสหรัฐฯ มาแล้วหลายช่วงเวลา สะท้อนว่าหุ้นต่างประเทศก็มีวัฏจักรของมัน และอาจกลับมาโดดเด่นได้ในบางช่วงของประวัติศาสตร์การลงทุน

 1

 

ช่วงที่ผ่านมา หุ้นต่างประเทศตามหลังหุ้นสหรัฐฯ อย่างมาก ตลอดช่วง 15 ปีหลังวิกฤตการเงินโลก (Global Financial Crisis) หุ้นต่างประเทศให้ผลตอบแทนต่ำกว่าหุ้นสหรัฐฯ อย่างชัดเจน สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของกำไรบริษัทในสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่ง และการขยายตัวของอัตราส่วนราคาต่อกำไร (Valuation Multiples) ในตลาดสหรัฐฯ

มุมมองด้านการจัดพอร์ตการลงทุน (Portfolio Perspectives)

อีกเหตุผลหนึ่งที่นักลงทุนควรพิจารณาเพิ่มน้ำหนักหุ้นต่างประเทศในพอร์ต ก็คือ พอร์ตของพวกเขาอาจ "น้ำหนักต่ำเกินไป" (underweight) แม้หลังจากหุ้นต่างประเทศปรับตัวขึ้นมาบ้างในปีนี้ ตัวอย่างเช่น ถ้านักลงทุนเริ่มลงทุนเมื่อ 5 ปีก่อน โดยแบ่งสัดส่วนหุ้นเป็น 2 ใน 3 หุ้นสหรัฐฯ (ประมาณ 66.7%) และ 1 ใน 3 หุ้นต่างประเทศ (ประมาณ 33.3%) หากไม่เคยปรับสมดุลพอร์ต (rebalance) เลย ปัจจุบันน้ำหนักของหุ้นสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นเป็น ประมาณ 71% เนื่องจากผลตอบแทนของหุ้นสหรัฐฯ แซงหน้าหุ้นต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา

ข้อมูลจาก Morningstar ก็ยืนยันแนวโน้มนี้ ณ วันที่ 30 พฤษภาคม มูลค่าทรัพย์สินในกองทุนต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 4.6 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดเป็นเพียง 26% ของมูลค่ารวมในกองทุนหุ้นสหรัฐฯ และ ETF ทั้งหมด (รวมกองทุนกลุ่มอุตสาหกรรม) ในขณะที่ น้ำหนักที่ "สมดุล" ตามมูลค่าตลาด (market cap) ควรจะอยู่ที่ 62.3% หุ้นสหรัฐฯ 37.7% หุ้นต่างประเทศ

Valuation Matters

นอกจากประเด็นด้านผลตอบแทนแล้ว หุ้นต่างประเทศยังคงดูน่าดึงดูดในแง่ของ “มูลค่า” หรือราคาที่นักลงทุนต้องจ่ายเมื่อเทียบกับพื้นฐานของบริษัท เราได้พิจารณา "ตัวชี้วัดด้านมูลค่า" หลายตัว ทั้งของหุ้นสหรัฐฯ และหุ้นต่างประเทศ แล้วเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยในระยะยาว

ข้อสรุปที่ได้ คือ หุ้นทั้งสองกลุ่ม (สหรัฐฯ และต่างประเทศ) มีราคาสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต (Premium) ตามตัวชี้วัดส่วนใหญ่ แต่หุ้นสหรัฐฯ มีระดับมูลค่าที่ “แพงกว่า” หุ้นต่างประเทศอย่างชัดเจน ตามตัวชี้วัดเกือบทุกตัว หมายความว่า แม้ตลาดหุ้นจะดูไม่ถูกโดยรวม แต่หากเปรียบเทียบกัน หุ้นต่างประเทศยังคงมีราคาที่ “สมเหตุสมผล” หรือ “น่าลงทุน” มากกว่าในสายตานักวิเคราะห์หลายคน

1

ค่า CAPE หรือ Shiller P/E ชี้ให้เห็นเรื่องเดียวกัน

ค่า CAPE (Cyclically Adjusted Price-to-Earnings Ratio) หรือที่เรียกกันว่า Shiller P/E เป็นอัตราส่วนที่คำนวณโดยการนำราคาหุ้นมาแบ่งด้วยค่าเฉลี่ยของกำไร (ที่ปรับตามเงินเฟ้อแล้ว) ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งช่วยให้เห็นภาพที่เสถียรกว่าค่า P/E แบบปกติ เพราะลดผลกระทบจากวัฏจักรเศรษฐกิจระยะสั้น

ผลการวิเคราะห์ล่าสุด ค่า CAPE ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 33.9 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 24.8 นั่นหมายความว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังซื้อขายที่ระดับพรีเมียมถึง 37% จากระดับปกติในอดีต จากกราฟด้านล่างพบว่า ค่า CAPE ของสหรัฐฯ อยู่ในระดับสูงกว่าตลาดหุ้นหลักๆ ทั่วโลก โดยมีเพียงตลาดหุ้น อินเดีย เท่านั้นที่มีระดับพรีเมียมจากค่าเฉลี่ยในอดีตสูงกว่าสหรัฐฯ

1

 

แม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะซื้อขายอยู่ในระดับพรีเมียมสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต แต่ในทางกลับกัน ตลาดหุ้นขนาดเล็กหลายแห่งทั่วโลกกลับมีค่า CAPE ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตของตัวเอง

1

โดยสรุป ตลาดสหรัฐฯ กำลังถูกมองว่า "แพง" ในเชิงมูลค่าเมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์ของตัวเอง ขณะที่ ตลาดหุ้นขนาดเล็กหรือตลาดต่างประเทศบางแห่ง กลับมีราคาที่ "ถูกลง" หรืออย่างน้อยก็ ไม่ได้แพงเท่าเดิม นี่อาจเป็น โอกาสสำหรับนักลงทุน ที่มองหาการกระจายความเสี่ยงและมูลค่าการลงทุนที่น่าสนใจในระยะยาว

ทั้งนี้ ค่า CAPE ที่สูงไม่ได้แปลว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะให้ผลตอบแทนแย่เสมอไป แต่ก็ เพิ่มความเสี่ยงให้กับนักลงทุน มากกว่าช่วงที่หุ้นมีมูลค่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ย

แรงสนับสนุนจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์

การที่ เงินดอลลาร์อ่อนลงประมาณ 11% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 2 กรกฎาคม 2025 เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ หนุนให้หุ้นต่างประเทศฟื้นตัว แม้จะไม่มีอะไรรับประกันว่าแนวโน้มขาลงของดอลลาร์จะดำเนินต่อไป แต่ก็มีเหตุผลที่น่าเชื่อได้หลายประการ เช่น ธนาคารกลางหลายประเทศเริ่มลดการถือครองเงินดอลลาร์ (de-dollarization) โดยหันไปถือทองคำหรือเงินสกุลอื่นมากขึ้น งบประมาณขาดดุลของรัฐบาลสหรัฐฯ พุ่งขึ้นกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์ตามกฎหมายงบประมาณล่าสุด ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนกังวลและหลีกเลี่ยงสินทรัพย์ที่อิงกับดอลลาร์ หาก Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปลายปีนี้ ก็อาจยิ่งกดดันอุปสงค์ของสินทรัพย์ในดอลลาร์

ประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยง (Diversification Benefits)

แม้ช่วงที่ผ่านมา หุ้นต่างประเทศอาจไม่ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดีเท่าที่เคย (เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างตลาดสูงขึ้น) แต่ล่าสุดมีสัญญาณว่า หุ้นต่างประเทศเริ่มเคลื่อนไหวแยกจากตลาดสหรัฐฯ มากขึ้น ในช่วง 3 ปีย้อนหลังถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2025 ดัชนี Morningstar Global Markets ex-US มีค่าสหสัมพันธ์กับตลาดหุ้นสหรัฐฯ อยู่ที่ 0.86 ลดลงจากระดับสูงสุดก่อนหน้านี้ที่เคยแตะ 0.94 โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ซึ่งมีแนวโน้มเคลื่อนไหวแตกต่างมากกว่า และจึง ช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดีกว่า

บทสรุป การกระจายการลงทุน (Diversification) คือเหตุผลสำคัญที่สุดที่ควรมีการถือครองสินทรัพย์นอกสหรัฐฯ แม้จะไม่มีใครทำนายได้ว่าหุ้นต่างประเทศจะให้ผลตอบแทนดีกว่าหรือแย่กว่าหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงเวลาใด แต่การมี สัดส่วนการลงทุนระหว่างประเทศอย่างเหมาะสม จะช่วยลดการพึ่งพาแนวโน้มในตลาดเดียว และเพิ่มเสถียรภาพของพอร์ตในระยะยาว

Facebook Twitter LinkedIn

About Author

Morningstar  Morningstar