Russia-Ukraine กลุ่มใดเป็น winner-loser?

รัสเซียจะทำอย่างไรต่อและชาติยุโรปจะมีการคว่ำบาตรหรือไม่อย่างไร วันนี้เรามาดูผลกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

Morningstar 23/02/2565
Facebook Twitter LinkedIn

หลังจากรัสเซียได้ประกาศรับรองดินแดนกบฏทางตะวันออกของยูเครน กองกำลังทหารรัสเซียได้เคลื่อนเข้าสู่พื้นที่โดยใช้เหตุผลเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย

กลุ่มเสียประโยชน์

จากการประกาศของประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ส่งผลให้ค่าเงินรูเบิลอ่อนลง 3% หรือมากที่สุดตั้งแต่ต้นปี 2020 ตลาดหุ้นรัสเซียปรับตัวลงต่อในเช้าวันอังคารไปถึง 11% หรือสะสมตั้งแต่ต้นปี -28% โดยกลุ่มธนาคาร การทำเหมือง และกลุ่มก่อสร้างปรับตัวลงมากที่สุด กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดประกอบด้วยกลุ่มพลังงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการท่อส่งก๊าซ Nord Stream 2 เช่น Uniper (UN01) ลดลง 3.4% ในช่วงการซื้อขายระหว่างวัน และ Fortum (FOT) ลดลง 4.2% หลังจากเยอรมนีประกาศระงับโครงการดังกล่าว

ธนาคารในยุโรปที่มีส่วนธุรกิจในรัสเซียเป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากเช่นกัน เช่น ธนาคาร Raiffeisen ลดลง 7% ด้านดัชนี S&P 350 Europe Index ลดลง 2% ในช่วงเช้าวันอังคาร

กลุ่มได้ประโยชน์

นอกจากฝั่งที่ได้รับผลกระทบทางลบแล้ว กลุ่มที่ได้ประโยชน์นั้นเห็นได้จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่พุ่งขึ้นระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี เกือบแตะที่ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ทำให้บริษัทขนาดใหญ่เช่น Shell (SHEL), BP (BP) และ Eni (ENI) ปรับตัวสูงขึ้น 0.7%-1.7%

ทางฝั่งบริษัทน้ำมันในสหรัฐมีการปรับตัวขึ้นด้วยเช่น Exxon (XOM), ConocoPhillips (COP) และ Chevron (CVX) ซึ่งสอดคล้องกับทางนักวิเคราะห์ Allen Good ที่ได้คาดการณ์ว่ากลุ่มน้ำมันจะมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูงขึ้นซึ่งเป็นผลจาก risk premium ที่สูงขึ้น (ยูเครน-รัสเซีย และทิศทางราคาพลังงาน)

หากมีการสู้รบเกิดขึ้นจะเป็นส่วนเพิ่มต่อการใช้จ่ายเพื่ออาวุธยุทโธปกรณ์ ประกอบกับวัตถุดิบการผลิตจากรัสเซียที่ลดลงทำให้ราคาวัตถุดิบการผลิตอาวุธราคาสูงขึ้น ส่งผลให้มูลค่าหุ้นที่เกี่ยวกับกลุ่มดังกล่าวในยุโรปมีการปรับตัวขึ้นเช่นกัน

สถานการณ์ที่ยังคงต้องติดตามต่อ

ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าการกระทำของรัสเซียในการรับรองแบ่งแยกดินแดนนั้นเป็นวัตถุประสงค์ของประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน หรือเป็นเพียงการเริ่มต้นต่อต้านยูเครนที่จะรุนแรงขึ้นในอนาคต ผลกระทบที่มีต่อตลาดขึ้นอยู่กับการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกว่าจะรุนแรงเพียงใด อย่างไรก็ดีราคาน้ำมันที่กำลังอยู่ในระดับสูงจะเป็นส่วนสำคัญต่อการกระทำของผู้นำแต่ละประเทศเนื่องจากรัสเซียเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ในตลาดโลก

กองทุนน้ำมันยังให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุด

แม้กองทุนน้ำมันจะเป็นการลงทุนในกองทุนหลักที่ลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ แต่ทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นส่งผลให้ผลตอบแทนกองทุนน้ำมันสูงขึ้น โดยในช่วงปี 2021 กลุ่มกองทุนน้ำมัน (Commodities Energy) มีผลตอบแทนเฉลี่ย 65.9% และยังคงเป็นกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดสำหรับปีนี้ โดยเฉลี่ยสะสมอยู่ที่ 13.7% (ข้อมูล ณ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2022)

นักลงทุนที่สนใจควรให้ความสำคัญกับการพิจารณาความเสี่ยง ซึ่งกองทุนน้ำมันเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงมาก นักลงทุนไม่ควรใช้ผลตอบแทนในอดีตมาอ้างอิงหรือคาดการณ์ผลตอบแทนในอนาคต โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เกิดจากความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ที่คาดการณ์ได้ยากและมีความไม่แน่นอนสูง

Facebook Twitter LinkedIn

About Author

Morningstar