ภาพรวมการลงทุนในกองทุน Thai ESGX

ระยะเวลาเกือบ 2 เดือนที่เปิดให้มีการลงทุนในกองทุน Thai ESGX ได้สิ้นสุดลงเมื่อสิ้นเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าทรัพย์สินรวมประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาท

Morningstar 04/07/2568
Facebook Twitter LinkedIn

 1

กองทุน Thai ESGX นับเป็นอีกหนึ่งกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษีล่าสุดที่เริ่มจัดตั้งในปี 2568 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมการลงทุนที่ยั่งยืนในตลาดหุ้นไทยและช่วยรองรับเงินลงทุนจากกองทุน LTF ที่ครบกำหนดลง โดยนักลงทุนสามารถนำยอดโอนย้ายกองทุน LTF ไปกองทุน Thai ESGX ไปใช้ในการลดหย่อนภาษีได้สูงถึง 5 แสนบาท และอีกส่วนหนึ่งก็เปิดโอกาสให้นักลงทุนสามารถนำเงินลงทุนใหม่มาลงทุนเพิ่มเติมได้ โดยแยกวงเงินลดหย่อนภาษีออกมาต่างหากจากวงเงินสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF อีก 3 แสนบาท

ระยะเวลาเกือบ 2 เดือนที่เปิดให้มีการลงทุนในกองทุน Thai ESGX ได้สิ้นสุดลงเมื่อสิ้นเดือนมิ.ย. ที่ผ่านมา โดยมีมูลค่าทรัพย์สินรวมประมาณ 3.2 หมื่นล้านบาท จากจำนวนกองทุนทั้งหมด 86 กองทุน (นับแยกชนิดหน่วยลงทุน) ภายใต้การบริหารจัดการของ 19 บลจ. โดย บลจ. ที่มีส่วนแบ่งตลาดในด้านมูลค่าทรัพย์สินสูงที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บลจ.บัวหลวง, บลจ.กสิกรไทย และ บลจ.ไทยพาณิชย์ ตามลำดับ และส่วนแบ่งตลาดของ บลจ. รายใหญ่ 5 รายแรก คิดเป็นสัดส่วนกว่า 80% ของตลาดโดยรวม

1

ทั้งนี้ หากพิจารณาสัดส่วนมูลค่าทรัพย์สินระหว่างกองทุน Thai ESGX ประเภทเงินลงทุนใหม่ และประเภทรับโอนมาจากกองทุน LTF จะพบว่า กองทุน Thai ESGX ประเภทรับโอนย้ายจากกองทุน LTF มีสัดส่วนมูลค่าทรัพย์สินประมาณเกือบ 80% ของขนาดกองทุนโดยรวม คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2.5 หมื่นล้าน ในขณะที่มีทรัพย์สินในกองทุน Thai ESGX ประเภทเงินลงทุนใหม่ราว 6.9 พันล้านบาท ทั้งนี้ หากพิจารณาเทียบสัดส่วนของกองทุน Thai ESGX ทั้งสองประเภท ภายใต้ บลจ.เดียวกัน พบว่า บลจ.ทิสโก้ มีสัดส่วนเงินลงทุนใหม่ที่สูงที่สุด เมื่อเทียบในกลุ่ม บลจ. 10 อันดับแรก ในขณะที่ บลจ. อเบอร์ดีน มีสัดส่วนจากเงินโอนย้ายกองทุน LTF มากที่สุด

1

กองทุนผสมได้รับความนิยมมากกว่า

กองทุน Thai ESGX ที่ออกมาสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มหลักๆตาม Morningstar Category คือ กองทุนในกลุ่ม Aggressive Allocation ซึ่งเป็นกองทุนผสมที่มีสัดส่วนหุ้นค่อนข้างสูง และกองทุนกลุ่ม Equity Large-Cap ที่เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ โดยความนิยมในกองทุนผสมดูเหมือนจะได้รับความนิยมมากกว่ากองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นล้วน จากขนาดทรัพย์สินโดยรวมกว่า 67% ของตลาด หรือประมาณเกือบ 2.2 หมื่นล้านบาท ซึ่งสูงกว่ากลุ่มกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกว่า 1 หมื่นล้านบาท

1

กองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรม คือ กองทุน BMDIV-TESGX จาก บลจ.บัวหลวง ซึ่งเป็นกองทุนในกลุ่ม Aggressive Allocation โดยมีขนาดกองทุนประมาณ 3.9 พันล้านบาท ในขณะที่กองทุน KFAEQ-THAIESGX-L ของ บลจ. กรุงศรี นับเป็นกองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม Equity Large-Cap มีขนาดกองทุนเกือบ 3 พันล้านบาท โดยหากพิจารณาจากกองทุนที่ใหญ่ที่สุด 5 อันดับแรกของทั้ง 2 กลุ่มกองทุน จะพบว่าเป็นกองทุนของ บลจ. หลัก 3 ราย คือ บลจ.บัวหลวง, บลจ. กสิกรไทย และ บลจ.กรุงศรี

1

นอกจากนี้ จะเห็นว่า หลาย บลจ. จะมีการออกชนิดหน่วยลงทุนที่แตกต่างกัน 2 ชนิด เพื่อรองรับทั้งการสับเปลี่ยนจากกองทุน LTF เดิม (ส่วนใหญ่มักลงท้าย -L หรือมีคำว่า LTF) และเงินลงทุนใหม่ (ส่วนใหญ่มักมีคำว่า 68 หรือ 25 เป็นต้น) โดยจากรายชื่อกองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดข้างต้น จะเห็นว่ากองทุนส่วนใหญ่ที่ได้รับความนิยมมักเป็นกองทุนชนิดรับโอน LTF แทบทั้งสิ้น แต่มีกองทุน K-70ThaiESGX-68 และกองทุน K-HDThaiESGX-68 ของ บลจ.กสิกรไทย ซึ่งเป็นหน่วยลงทุนชนิดรับเงินใหม่ที่ติดโผกองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดใน 5 อันดับแรกของกองทุนทั้ง 2 ประเภท

เงินยังไหลออกจาก LTF อย่างต่อเนื่อง

แม้ว่ากองทุน Thai ESGX จะมีเป้าหมายในการช่วยชะลอการไถ่ถอนของกองทุน LTF แต่หากพิจารณาเงินลงทุนในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่วันที่ 9 พ.ค. 68 ซึ่งเป็นวันที่กองทุน Thai ESGX เริ่มมีการจัดตั้ง จนถึงวันที่ 1 ก.ค. 68 จะพบว่ามีเงินไหลออกจากกองทุน LTF เกือบ 4 หมื่นล้านบาท ในขณะที่มีเงินไหลเข้าในกองทุน Thai ESGX ประมาณ 3.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเป็นสัดส่วนจากการโอนย้ายกองทุน LTF ประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนราวๆ 60% ของเงินไถ่ถอนในกองทุน LTF ทั้งหมดในช่วงเวลาเดียวกัน

1

ความท้าทายในการรักษาเม็ดเงินในระบบ โดยเฉพาะในภาวะที่ตลาดหุ้นไทยยังเผชิญกับความผันผวนและความไม่แน่นอนจากทั้งปัจจัยในประเทศและต่างประเทศ ยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ของภาครัฐในการดำเนินมาตรการต่างๆในอนาต ถึงแม้ว่ากองทุน Thai ESGX จะไม่สามารถชะลอการไหลออกของกองทุน LTF ได้ทั้งหมด แต่กองทุน Thai ESGX ก็ได้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามของภาครัฐในการสร้าง “ทางเลือกใหม่ที่ยั่งยืน” ให้กับนักลงทุนไทย และกลายเป็นอีกตัวเลือกที่นักลงทุนจำนวนไม่น้อยให้ความสนใจ โดยเฉพาะในบริบทที่ตลาดเริ่มให้ความสำคัญกับปัจจัยด้าน ESG มากขึ้น และอาจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมการลงทุนเพื่อความยั่งยืนในระยะยาวให้กับนักลงทุนได้

Facebook Twitter LinkedIn

About Author

Morningstar  Morningstar