หากถามว่าในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 กองทุนรวมกลุ่มอุตสาหกรรมใดสร้างผลตอบแทนได้โดดเด่นที่สุด หลายคนอาจนึกถึงกองทุนหุ้นเทคโนโลยีเป็นอันดับแรก แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือ “ม้ามืด” ที่สามารถทำผลงานได้อย่างน่าสนใจกลับเป็นกลุ่มกองทุน Global Infrastructure ซึ่งอาจจะยังไม่ค่อยเป็นที่จับตามองของนักลงทุนเท่าที่ควร โดยในช่วงครึ่งปีแรก กองทุน Global Infrastructure สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงถึง 11.82% รั้งตำแหน่งประเภทกองทุนอันดับ 3 ของกองทุนรวมในไทยที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงที่สุด โดยเป็นรองเพียงกองทุนกลุ่ม Commodities Precious Metals และ Country Focus Equity
แม้ว่าในปีนี้กองทุนในกลุ่ม Global Infrastructure จะสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงถึง 11.8% แต่เม็ดเงินของนักลงทุนในกองทุนกลุ่มนี้ยังคงอยู่ในระดับติดลบกว่า 680 ล้านบาท และมีเม็ดเงินลงทุนที่ค่อนข้างเบาบางตลอดช่วงที่ผ่านมา โดยในปี 2564 เป็นปีที่กองทุนกลุ่ม Global Infrastructure มีเงินไหลเข้ามากที่สุดในช่วง 5 ปีย้อนหลัง ซึ่งมีเงินไหลเข้ากว่า 3,600 ล้านบาท และเป็นปีที่กองทุนกลุ่มนี้สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยได้สูงสุดถึง 18.1% แต่หลังจากนั้นทั้งเงินไหลเข้าและผลตอบแทนก็ปรับตัวลดลง จนอาจทำให้ไม่เป็นที่สนใจของนักลงทุนเท่าที่ควร
ทำไม Global Infrastructure ถึงเป็นธีมการลงทุนที่น่าสนใจ?
Infrastructure หรือ โครงสร้างพื้นฐาน นั้นเปรียบเสมือนรากฐานการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพราะเกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภคที่สำคัญในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นพลังงาน คมนาคม ดิจิทัล โดยหากอ้างอิงจาก Morningstar Global Equity Infrastructure Index ธุรกิจในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานมีการกระจายตัวอยู่ถึง 18 อุตสาหกรรม ภายใต้ 5 หมวดธุรกิจหลัก ดังภาพ
การลงทุนในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานมีจุดเด่นที่น่าสนใจในด้านรายได้ที่มั่นคงและสม่ำเสมอ เพราะส่วนใหญ่มีการทำสัญญาในระยะยาว อีกทั้งธุรกิจมักมีลักษณะผูกขาดหรือกึ่งผูกขาด มีผู้เล่นน้อยราย เนื่องจากต้องใช้เงินลงทุนในระดับสูง จึงทำให้การแข่งขันไม่รุนแรงมากนัก นอกจากนี้ ปัจจัยส่งเสริมการเติบโตในระยะยาวยังมาจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง ที่มีการขยายตัวสู่สังคมเมืองเพิ่มมากขึ้น การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้มีความต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับระบบนิเวศเพิ่มมากขึ้น นักลงทุนหลายรายจึงมีการลงทุนในกองทุนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานเพื่อช่วยเสริมความมั่นคงให้กับพอร์ตลงทุน โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดผันผวน
ปัจจัยกระตุ้นช่วยหนุนศักยภาพการสร้างผลตอบแทน
ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานมักมีการปรับตัวในทิศทางตรงกันข้ามกับอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากโดยปกติแล้วโครงสร้างพื้นฐานเป็นธุรกิจที่ต้องมีการลงทุนสูง ต้นทุนทางการเงินจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจ ดังนั้นในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเริ่มทรงตัวหรือมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานมักมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นตามต้นทุนทางการเงินที่มีแนวโน้มปรับลดลงตามทิศทางอัตราดอกเบี้ย
หากดูประวัติผลตอบแทนย้อนหลังของกองทุน Global Infrastructure ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่ากองทุนมีการปรับตัวที่ค่อนข้างสอดคล้องกับวัฎจักรอัตราดอกเบี้ย โดยในช่วงการปรับตัวขึ้นของผลตอบแทนในรอบล่าสุดนั้น กองทุนกลุ่ม Global Infrastructure มีการทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 ซึ่งเป็นช่วงสิ้นสุดวัฎจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังจากที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนมีนาคม 2565 โดยตั้งแต่ช่วงปลายปี 2566 ธนาคารกลางสหรัฐฯก็มีการคงดอกเบี้ยอย่างยาวนาน จนกระทั่งเดือนกันยายน 2567 ที่เริ่มมีการลดอัตราดอกเบี้ยอย่างเป็นทางการ และเป็นจุดเริ่มต้นวัฎจักรดอกเบี้ยขาลงในรอบนี้
ในทางตรงข้าม ช่วงเวลาที่กองทุน Global Infrastructure ได้รับปัจจัยกดดันอย่างมาก คือในช่วงปี 2565 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ เริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี และมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อต่อสู้กับระดับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง ต่อเนื่องมาจนถึงเกือบทั้งปี 2566
ทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงนอกเหนือจากสินทรัพย์หลัก
เมื่อเทียบกับสินทรัพย์หลักอย่างกองทุนในกลุ่ม Global Bond (เส้นสีเขียว) และ Global Equity (เส้นสีน้ำเงิน) พบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กองทุน Global Infrastructure (เส้นสีเหลือง) มีการเติบโตของผลตอบแทนที่มีความผันผวนค่อนข้างต่ำกว่ากองทุน Global Equity แต่ในระยะยาวยังสามารถสร้างการเติบโตได้ใกล้เคียงกัน ในขณะที่เมื่อเทียบกับกองทุน Global Bond นั้น แม้ว่ากองทุน Global Infrastructure จะมีความผันผวนที่สูงกว่า แต่ก็สามารถสร้างการเติบโตของผลตอบแทนได้มากกว่ากองทุน Global Bond อย่างมีนัยสำคัญ
นอกจากนี้ หากเทียบกับจุดขาดทุนสูงสุด (Maximum drawdown) ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า ในช่วงปี 2565 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นนั้น ทั้งกองทุน Global Bond, Global Equity และ Global Infrastructure ล้วนได้รับปัจจัยกดดัน แต่กองทุน Global Equity มีการปรับตัวลดลงมากที่สุด ในขณะที่กองทุน Global Infrastructure ปรับตัวลดลงต่ำกว่า ทำให้สามารถฟื้นตัวกลับได้เร็วและมีระดับขาดทุนน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน
ภาพรวมของกองทุน Global Infrastructure ในไทย
ปัจจุบัน กองทุน Global Infrastructure มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมราวๆ 7 พันล้านบาท ซึ่งนับว่ามีขนาดค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับกองทุนกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ อย่างเช่น กองทุนหุ้นเทคโนโลยี, กองทุนหุ้นอสังหาริมทรัพย์ หรือ กองทุนหุ้น Health care ที่ล้วนมีขนาดทรัพย์สินเกินกว่า 3 หมื่นล้านทั้งหมด โดยส่วนหนึ่งอาจมีสาเหตุมาจากบางกองทุนที่มีกลยุทธ์ยืดหยุ่นทั้งการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานเข้าด้วยกัน ทำให้ถูกจัดกลุ่มอยู่ในกองทุนประเภทอื่นๆ
ในด้านจำนวนกองทุน ปัจจุบันมีกองทุนในกลุ่ม Global Infrastructure ทั้งหมด 27 กองทุน (นับแยกชนิดหน่วยลงทุน) ภายใต้ 10 บลจ. ซึ่งจำนวนกองทุนอาจยังไม่มากอีกเช่นกันหากเทียบกับกองทุนที่เน้นลงทุนในอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยกองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 5 อันดับแรกมาจากหลากหลาย บลจ. และมีกองทุนหลักที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ ลักษณะของตลาดกลุ่มกองทุน Global Infrastructure ค่อนข้างมีความกระจุกตัว โดยเฉพาะกองทุนที่ใหญ่ที่สุด 5 อันดับแรก มีมูลค่าทรัพย์สินรวมคิดเป็นสัดส่วนกว่า 62% ของตลาด
ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าเงินไหลเข้าโดยรวมของกองทุนกลุ่ม Global Infrastructure จะติดลบ แต่ว่าหากพิจารณารายกองทุน จะพบว่ากองทุน 10 อันดับแรกที่มีเงินไหลเข้าสูงสุดยังคงมีเงินไหลเข้าเป็นบวกทั้งหมด โดยในปีนี้ มีเงินไหลเข้าในกองทุน TISCOGIF-R ของ บลจ.ทิสโก้ และ UINFRA-N ของ บลจ.ยูโอบี มากที่สุดตามลำดับ ซึ่งทั้งสองกองทุนมีเงินไหลเข้าในระดับที่แตกต่างจากกองทุนอื่นๆค่อนข้างมาก ในขณะที่ผลตอบแทนรายกองทุนนั้น พบว่า ทุกกองทุนในกลุ่ม Global Infrastructure สามารถสร้างผลตอบแทนเป็นบวกในปีนี้ โดยมีช่วงผลตอบแทนตั้งแต่ 0.83%-15.32% ทั้งนี้ หากพิจารณาเฉพาะกองทุน 10 อันดับแรกที่มีผลตอบแทนสูงสุด พบว่า ผลตอบแทนของกองทุนทั้ง 10 อันดับค่อนข้างมีความใกล้เคียงกัน โดยกองทุน KKP GINFRAEQ-H-F ของ บลจ.เกียรตินาคินภัทร นอกจากจะครองตำแหน่งกองทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมในกลุ่มกองทุน Global Infrastructure แล้ว ยังเป็นกองทุนที่มีผลตอบแทนสูงสุดในปีนี้ที่ 15.32%