หลายปีที่ผ่านมาเราได้ยินการพูดคุยประเด็นเรื่องสิทธิความเท่าเทียมกันระหว่างชาย-หญิง หรือสิทธิสตรี ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่ก็ยังเป็นประเด็นสำคัญที่หลายฝ่ายให้ความสนใจ แม้กระทั่งอุตสาหกรรมกองทุนรวมในบางประเทศมีการหยิบยกประเด็นสิทธิสตรีมาเป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกหุ้นเพื่อจัดตั้งกองทุนเลยทีเดียว สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์หรือความท้าทายที่ผู้หญิงต้องเผชิญนั้นมีอยู่จริง ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องการออมเงินเพื่อวัยเกษียณ
Sarah Newcomb, Senior Behavioral Scientist ของมอร์นิ่งสตาร์กล่าวว่า ผู้หญิงอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ส่งผลให้ต้องเตรียมการวางแผนต่างจากผู้ชาย ซึ่งอาจเกิดจากการมีค่าเฉลี่ยอายุที่ยืนยาวกว่า การเป็นฝ่ายดูแลคนในครอบครัวทำให้บางครั้งต้องออกจากงาน หรือแม้กระทั่งในการจ้างงานที่ผู้หญิงมักมีอัตราค่าจ้างต่ำกว่า แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยทางสังคม แต่ก็มีนัยทางการเงินซึ่งส่งผลโดยตรงกับการลงทุน
จากผลการวิจัยระบุว่าแม้ผู้หญิงที่ได้ทำการลงทุนแบบจริงจังจะสามารถเป็นนักลงทุนที่ยอดเยี่ยม (อาจจะไม่จริงสำหรับผู้หญิงทุกคน แล้วแต่กรณี) แต่ผู้หญิงก็มักจะออมเงินเป็นเงินสดมากกว่าผู้ชาย และ 1 ใน 3 ของผู้หญิงอายุมากกว่า 45 ปียังไม่มั่นใจว่ามีเงินมากพอที่จะสามารถใช้ชีวิตแบบเดิมในวัยเกษียณได้ (ผลสำรวจจาก RBC/Ipsos) สิ่งเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าผู้หญิงควรให้เงินทำงานให้มากขึ้นผ่านการลงทุนอย่างฉลาดและคุ้มค่า เพราะผู้หญิงมีเวลาที่ต้องวางแผนการเงินที่ยาวกว่า คนที่ต้องดูแลที่มากกว่า และรายได้ที่อาจต่ำกว่า
Sarah Newcomb แนะนำว่าผู้หญิงควรให้ความสนใจอย่างจริงจังกับการลงทุนในกองทุนบำเหน็จ/บำนาญ (หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสำหรับพนักงานเอกชน) โดยเฉพาะกรณีที่บริษัทมีการจ่ายสมทบให้ในอัตราเดียวกัน
อุปสรรค (ทางใจ) สำคัญอย่างหนึ่งไม่ว่าหญิงหรือชายคือบางคนอาจคิดว่าในเมื่อพยายามออมเงินไปยังไงก็ไม่พอเลยไม่ออมเงินซะเลย แต่อย่าลืมว่าออมไม่พอนั้นต่างกับไม่ออมเลย โดยอาจเริ่มออมเงินได้สัปดาห์ละ 200 บาท และค่อย ๆ เพิ่มเงินออมโดยใช้จ่ายให้น้อยลง สิ่งสำคัญคือการเริ่มต้นให้มากที่สุดและเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้นั่นเอง
อีกส่วนสำคัญคือการกล้าที่จะลงทุน ซึ่งนั่นไม่ได้หมายความว่าให้ใช้เงินลงทุนไปกับสินทรัพย์เสี่ยงสูงอย่าง cryptocurrency แต่เป็นการเริ่มลงทุนในสินทรัพย์ใดก็ตามที่มากกว่าผลตอบแทนจากเงินฝากธนาคาร เช่นอาจจะเริ่มลงทุนกองทุนรวมเสี่ยงต่ำก่อนและปรับไปลงสินทรัพย์เสี่ยงสูงมากขึ้นตามความรู้ความเข้าใจที่มากขึ้น
จากผลสำรวจโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติด้านการออมภาคครัวเรือนไทยจากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศในไตรมาสที่ 3 ปี 2018 พบว่าราวร้อยละ 42 มีวัตถุประสงค์การออมเพื่อวัยเกษียณ แต่เป็นที่น่าตกใจว่าวิธีที่คนไทยเลือกออมมากที่สุดคือเก็บเป็นเงินสดร้อยละ 75 รองลงมาคือการเก็บเงินไว้ในบัญชีเงินเดือนร้อยละ 55 และถัดมาคือเก็บเงินไว้ในบัญชีที่เปิดไว้เพื่อออมเงินโดยเฉพาะร้อยละ 26 และมีถึงร้อยละ 18 ไม่มีการออมเงินอย่างจริงจัง จะเห็นได้ว่าทั้ง 3 อันดับแรกเป็นวิธีการออมเงินโดยให้ผลตอบแทนต่ำมากหรือไม่มีผลตอบแทนเลย ในขณะมีการลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ (ไม่รวม กบข.) เพียงร้อยละ 3 และราวครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่างเคยประสบปัญหาเงินไม่พอใช้
ได้ทราบข้อมูลสถิติไปแล้วคงพอจะนึกภาพกันออกว่าสถานการณ์สังคมผู้สูงวัยในบ้านเราจะวิกฤตมากน้อยเพียงใด สิ่งสำคัญที่นักลงทุนทุกท่านสามารถทำได้คือการให้ความสำคัญกับการวางแผนการลงทุนตั้งแต่เนิ่น ๆ หรือเริ่มซะตั้งแต่วันนี้เพื่อที่จะช่วยเพิ่มโอกาสการเกษียณสุขนั่นเอง