แม้ว่านักลงทุนจะไม่ได้ถือหุ้นเทคโนโลยีหรือกองทุนหุ้นเทคฯ (Global Technology) แต่ก็อาจมีสัดส่วนหุ้นเทคฯอยู่ในพอร์ตมากกว่าที่คิด ซึ่งมีเหตุผลมาจากกลุ่มธุรกิจนี้มีสัดส่วนราว 24% ของดัชนี S&P 500 โดยหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่นั้นมีส่วนสำคัญสำหรับดัชนีดังกล่าวมาเป็นเวลาหลายปี และเนื่องจากดัชนี S&P 500 ถูกใช้เป็นดัชนีอ้างอิงอย่างแพร่หลายทำให้ทั้งกองทุนดัชนี ETF หรือ active fund ต้องมีการถือครองหุ้นเทคฯ ตามไปด้วย
ตัวอย่างกลุ่มกองทุนที่มีการใช้ดัชนี S&P 500 เป็นดัชนีอ้างอิงคือกลุ่ม US Equity หากไปดูที่หมวดธุรกิจที่ลงทุนจะพบว่าหุ้นเทคโนโลยีมีสัดส่วนสูงสุดราว 30% (ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2020) ซึ่งมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ด้านกลุ่ม Communication Services ก็มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นชัดเจน ซึ่งเกิดจากหุ้นที่อาจดูเหมือนเป็นหุ้นเทคฯ ถูกนับรวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เช่น Alphabet (GOOGL) หรือ Facebook (FB) ในขณะที่กลุ่มการเงิน (Financial Services) เป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนน้อยลงจากปี 2015 ที่ราว 11% มาอยู่ที่ 6%
นอกจากลุ่ม US Equity แล้ว อีกหนึ่งกลุ่มกองทุนที่มีการลงทุนหุ้นเทคฯ คือกลุ่ม Global Equity ที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมราว 8.7 หมื่นล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2020) โดยเป็นกลุ่มที่มีการเติบโตที่ดีทั้งจากปริมาณเงินไหลเข้าและผลตอบแทน แม้ว่ากองทุนกลุ่มนี้มีการลงทุนไปในหุ้นทั่วโลก แต่ก็ถือว่ามีการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีที่ไม่น้อย โดยข้อมูลเมื่อ 30 มิถุนายน 2020 พบว่ากองทุนกลุ่มนี้มีสัดส่วนหุ้นเทคฯ สูงสุดโดยเฉลี่ยราว 23% โดยเพิ่มขึ้นจากปี 2015 ที่ 14%
จะเห็นได้ว่าแม้จะไม่ใช่กองทุนที่ลงทุนหุ้นเทคโนโลยีเป็นการเฉพาะเจาะจงแต่ก็มีสัดส่วนการลงทุนที่สูงกว่าหมวดธุรกิจอื่น ซึ่งอาจมีสาเหตุจากยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทำให้เทคโนโลยีมีบทบาทการดำเนินชีวิตและมีส่วนสำคัญในการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้มีการลงทุนในเทคโนโลยีมากขึ้นตามไปด้วย
หากมาดูที่ด้านผลตอบแทนนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่าผลตอบแทนกลุ่มเทคโนโลยี (Global Technology) ถือเป็นผู้นำในปีนี้จากที่มีการลงทุนในหุ้นเทคฯ โดยเฉลี่ยมากกว่า 50% ของพอร์ต โดยในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมามีผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 27.4% ด้านกลุ่ม US Equity นั้นอยู่ที่ 6.2% ซึ่งก็ถือว่าอยู่ในระดับดีหากเทียบกับกองทุนตราสารทุนหลายกลุ่มที่ยังมีผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบ ขณะที่ Global Equity มีผลตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่าเล็กน้อยที่ 8.5%
สาเหตุที่กลุ่ม Global Equity มีผลตอบแทนที่สูงกว่า US Equity ที่แม้จะมีการลงทุนในหุ้นเทคฯ ในสัดส่วนที่สูงกว่านั้นอาจเกิดอาจหลายปัจจัยเช่น กลุ่ม Global Equity มีการกระจายการลงทุนไปทั่วโลกในสัดส่วน 40%-50% ของพอร์ต ทำให้ได้รับอานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นจากหุ้นในประเทศอื่นด้วย หรืออาจเกิดจากการลงทุนใน Healthcare ที่สูงกว่ากลุ่ม US Equity ซึ่งกลุ่ม Healthcare ถือเป็นหุ้นอีกกลุ่มที่มีผลตอบแทนโดดเด่นในปีนี้
จากข้อมูลจะเห็นได้ว่าแม้จะไม่ได้มีการลงทุนในกองทุนกลุ่ม Global Technology เลยแม้แต่กองเดียว แต่นักลงทุนก็อาจมีการลงทุนหุ้นเทคฯอยู่แล้วผ่านกองทุนกลุ่มตัวอย่างที่กล่าวมา ฉะนั้นการมีความรู้ความเข้าใจก่อนการลงทุนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ทราบได้ว่าพอร์ตการลงทุนของตนเองนั้นมีการรับความเสี่ยงจากตลาดหรือธุรกิจใดในสัดส่วนมากน้อยแค่ไหน เพื่อที่จะนำไปสู่การวางแผนการลงทุนได้อย่างเป็นระบบนั่นเองค่ะ