กองทุน SSF มีการเติบโตเร็วขึ้นในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา
กองทุน SSF มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 2.2 พันล้านบาท (ไม่รวม 2 กองทุนรวมจากบลจ.บัวหลวงที่มีมูลค่าการลงทุนแบบ SSFX) โดยมีการเติบโตที่ค่อนข้างเร็วในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาที่มีมูลค่าเงินไหลเข้าสุทธิ 373 ล้านบาทและ 769 ล้านบาทในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนตามลำดับ หากไปดูที่สัดส่วนการลงทุนจะพบว่ามีการลงทุนในหุ้นต่างประเทศมากขึ้นจากช่วงแรกอย่างเห็นได้ชัด โดยกลุ่ม Global Equity มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดที่ 33% เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายนที่ 19% ในขณะที่กองทุนหุ้นไทยขนาดใหญ่มีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 2 ที่ 31% ลดลงจากเดือนมิถุนายนที่ 45%
สำหรับส่วนแบ่งตลาดราย บลจ.นั้นมีบลจ.กสิกรไทยมีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดที่ 27% ด้วยมูลค่ากองทุนราว 589 ล้านบาท โดยมีกองทุน K Positive Change Equity-SSF (กลุ่ม Global Equity) เป็นกองทุนเด่นจากผลตอบแทนช่วง 6 เดือนที่ 37.8% บลจ.กรุงศรีมีส่วนแบ่งตลาดอันดับสองที่ 19% ด้วยมูลค่ากองทุน SSF รวม 401 ล้านบาท มีกองทุน Krungsri Global Brands Equity Div SSF (กลุ่ม Global Equity) เป็นกองทุน SSF ขนาดใหญ่ที่สุดและมีผลตอบแทนรอบ 6 เดือนเกือบ 10% ตามมาด้วย บลจ.ไทยพาณิชย์ด้วยส่วนแบ่งตลาด 18% ด้วยมูลค่ากองทุน SSF รวมเกือบ 400 ล้านบาท โดยทางบลจ.ไทยพาณิชย์เริ่มมีการเปิดขายกองทุน SSF ในเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา มีกองทุน SCB Dividend Stock 70/30 L/T Eq (SSF) (กลุ่ม Equity Large-Cap) เป็นกองทุนขนาดใหญ่สุดราว 117 ล้านบาทและมีผลตอบแทนรอบ 3 เดือนล่าสุดที่ 5.1%
มูลค่ากองทุน RMF ทรงตัวจากปีที่แล้ว
กองทุน RMF มีเม็ดเงินไหลเข้าสุทธิช่วง 11 เดือนที่ราว 9 พันล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นเม็ดเงินที่เริ่มทยอยเข้าลงทุนในช่วงเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา อย่างไรก็ตามเม็ดเงินไหลเข้ายังไม่ทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิเติบโตจากสิ้นปี 2019 โดยอยู่ที่ระดับ 3 แสนล้านบาท (ลดลง 0.1% จากสิ้นปี 2019) ซึ่งเกิดจากเม็ดเงินลงทุนเดิมอยู่ในกลุ่มที่ผลตอบแทนที่ไม่ดีนัก แต่ยังถือว่ามีมูลค่าสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงต้น-กลางปีนี้จากสภาพตลาดที่ไม่ปกติที่อาจทำให้มูลค่าลดลงไปบ้าง โดยในปีนี้มูลค่ากองทุน RMF ลดลงไปต่ำสุดในเดือนมีนาคมที่ 2.6 แสนล้านบาท หรือลดลง 13.6% จากปี 2019
หากมาดูที่กลุ่มกองทุนนั้นภาพรวมผู้ลงทุนยังเน้นลงทุนเพื่อการเกษียณในกองทุนที่ลงทุนในประเทศเป็นหลัก เห็นได้จาก 5 อันดับกลุ่มกองทุนที่มีมูลค่ากองทุน RMF สูงสุด ได้แก่ Equity Large-Cap, Aggressive Allocation, Short Term Bond, Mid/Long Term Bond และ Money Market ซึ่งเป็นไปในลักษณะที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากในอดีต
กองทุน RMF ที่เป็น FIF มีการเติบโตดี
ในปีนี้เรียกได้ว่าการลงทุนต่างประเทศมีการเติบโตที่ค่อนข้างสูง โดยกลุ่มกองทุนที่มีการเติบโตของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 5 อันดับแรกล้วนแต่เป็นกองทุนต่างประเทศ (FIF) ได้แก่ China Equity, Global Technology, Global Equity, Asia Pacific ex-Japan Equity และ US Equity โดยใน 2 กลุ่มแรกมีการเติบโตมากกว่าเท่าตัวจากสิ้นปี 2019 ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากผลตอบแทนที่สูงในทรัพย์สินที่ลงทุน เห็นได้จาก 5 อันดับผลตอบแทนกองทุน RMF ที่เป็นกองทุน FIF ในขณะที่กลุ่มกองทุนที่มีมูลค่าทรัพย์สินหดตัวลงส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในประเทศ ซึ่งเป็นผลจากผลตอบแทนของหุ้นไทยที่ไม่สดใสนักในปีนี้
ภาพรวมการลงทุนประหยัดภาษีในปีนี้อาจเทียบไม่ได้กับกองทุน LTF จากรูปแบบกองทุน SSF ที่ผู้ลงทุนอาจยังไม่คุ้นเคยกับระยะเวลาการลงทุนที่นานขึ้น มูลค่าการลงทุนที่นับรวมกับกองทุนประเภทอื่นที่อาจทำให้ผู้ลงทุนบางกลุ่มลงทุนได้น้อยลง รวมทั้งเป็นปีที่สถานการณ์เศรษฐกิจโลกมีหลายปัจจัยที่ต้องพิจารณา ในขณะที่กองทุน RMF ยังถือว่ามีเม็ดเงินไหลเข้าในระดับปกติจากเงื่อนไขการลงทุนต่อเนื่อง (แต่ไม่มีขั้นต่ำ) แต่โดยรวมเป็นการลงทุนในกลุ่มหุ้นต่างประเทศมากขึ้นจากสภาพตลาดหุ้นต่างประเทศมีผลตอบแทนที่ดีกว่า อย่างไรก็ตามการลงทุนเพื่อประหยัดภาษีนั้นควรคำนึงถึงแผนการลงทุนเป็นหลัก เนื่องจากเป็นมีเงื่อนไขการลงทุนระยะยาว การวางแผนการลงทุนอย่างเป็นระบบโดยพิจารณาความเสี่ยง ประเภททรัพย์สินที่ลงทุน รวมถึงสภาพคล่องส่วนบุคคลเพื่อคำนวณมูลค่าการลงทุนที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การลงทุนบรรลุเป้าหมายระยะยาวได้
นักลงทุนสามารถค้นหากองทุน SSF และ RMF ได้ที่ https://bit.ly/3ofP40P