แม้ว่าการแพร่ระบาดของ Coronavirus ทำให้ตลาดการเงินผันผวนอย่างมาก ประกอบกับปัจจัยเรื่องเศรษฐกิจโลกและการเมืองในสหรัฐ แต่ก็ยังสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนที่ทนทานรับความผันผวนที่เกิดขึ้นได้
หลังจากที่ The Morningstar US Market Index ปรับขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ช่วง กุมภาพันธ์ 2020 และปรับลดลงถึง 35% ในช่วง 1 เดือนหลังจากนั้น แต่ก็ปรับตัวกลับขึ้นมาทำสถิติสูงสุดใหม่ได้อีกครั้ง หรือเพิ่มขึ้นมากว่า 20% จากจุดสูงสุดเดิมตอน กุมภาพันธ์ 2020 ซึ่งไม่เพียงแต่ตลาดหุ้นที่ผันผวนเท่านั้น ตลาดตราสารหนี้ก็ผันผวนเช่นกันจากที่ปรับตัวลงอย่างหนักและฟื้นตัวกลับขึ้นมา
ตัวอย่างพอร์ตการลงทุนแบบผสมที่มีทั้งหุ้นและตราสารหนี้ สมมติหากเริ่มต้นเงินลงทุนในสหรัฐด้วยเงินลงทุน $10,000 ตั้งแต่ปี 2016 จะพบว่า
หากลงทุนในหุ้นอย่างเดียวมูลค่าเงินลงทุนจะเพิ่มเป็น $17,913 ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2020 หลังจากนั้นตลาดหุ้นได้ปรับลงอย่างมากกว่า 35% ก่อนที่จะปรับขึ้นมาในภายหลังและทำให้มูลค่าเงินลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น $21,722
หากลงทุนในตราสารหนี้ จะพบว่าเงินลงทุนปรับลดลงเพียง 1% ในช่วงเวลาเดียวกัน และปิดท้ายด้วยเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นเป็น $11,991 ในเดือนมีนาคม 2021
หากเป็นเงินลงทุนในพอร์ตที่มีทั้งตราสารทุนและตราสารหนี้ มูลค่าเงินลงทุนจะเพิ่มขึ้นเป็น $14,378 ในเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนที่จะปรับลดลงกว่า 23% เหลือ 11,101 ในเดือนถัดมา ก่อนที่จะปรับเพิ่มขึ้นมาเป็น $16,299
ด้านตลาดตราสารหนี้ โดยปกติอัตราดอกเบี้ยก็อยู่ในระดับต่ำมากอยู่แล้ว แต่ด้วยสถานการณ์ COVID-19 ก็ยิ่งทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับลดลงต่ำมากขึ้น ซึ่งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับลดลงไปสู่ระดับต่ำที่ 0.38% ในเดือนมีนาคม ก่อนที่จะฟื้นตัวกลับไปอยู่ที่ 1.64% หลังจากนั้น ดังนั้น หากลงทุนด้วยเงินก้อนเดียวกัน $10,000 ผ่าน Core bond index ก็จะทำให้มูลค่าลดลงเหลือ $9,763 ในช่วงเดือนมีนาคม และปรับเพิ่มขึ้นเป็น $10,204 หลังจากนั้น
ตลาด High-yield bonds ปรับลดลง 20% ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม จากความกังวลต่อการผิดนัดชำระหนี้ แต่ด้วยความพยายามในการฟื้นฟูสถานการณ์ของ Fed ผ่านการเข้าซื้อพันธบัตรและ ETFs ก็ทำให้สถานการณ์กลับมาดีขึ้น ส่งผลให้ US high yield bond index ปรับเพิ่มขึ้น 35% จากจุดต่ำสุดในเดือนมีนาคม ดังนั้น หากลงทุนใน High-yield bonds ด้วยเงิน $10,000 ตั้งแต่ปี 2016 มูลค่าเงินลงทุนจะเหลือ $7,967 ตอนต้นปี 2020 ก่อนที่จะปรับขึ้นมาเป็น $10,748 ใน 1 ปีถัดมา
ด้านความผันผวนของตลาดการเงิน ก็ปรับลดลงในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา หลังจากที่ความผันผวนเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นเพราะนักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อธนาคารกลางสหรัฐต่อการฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจ
ความผันผวนที่เกิดขึ้น ทำให้ปัจจุบันตลาดหุ้นในสหรัฐซื้อขายอยู่ในมูลค่าที่เกินกว่าที่ควรจะเป็น (Overvalue) หากเปรียบเทียบจากช่วงต้นปี 2020 หรือราคาปัจจุบันสูงกว่ามูลค่าพื้นฐาน 1.07 เท่า โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Industrial และ Consumer ขณะที่กลุ่ม Utilities จากที่เคยซื้อขายในระดับสูงตอนต้นปี 2020 ปัจจุบันกลับปรับลงมาสู่ระดับมูลค่าพื้นฐาน และกลุ่ม Energy ยังคงซื้อขายในระดับที่ต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน