เนื่องจากการลงทุนถือเป็นเรื่องที่ซับซ้อน การมีกฎการลงทุนเบื้องต้นช่วยแนะแนวทางจึงเป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะช่วยให้นักลงทุนลดความซับซ้อนในการลงทุนลงและทำให้ตัดสินใจลงทุนได้รวดเร็วขึ้นโดยไม่ต้องมีคำถามต่อไปว่าจะเกิดอะไรขึ้น หรือจะเป็นอย่างไรต่อไป
1. กฎ “100 Minus Your Age”
หลักการณ์เบื้องต้นในการจัดสรรสินทรัพย์ลงทุนว่าจะให้น้ำหนัการลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้ในสัดส่วนเท่าไหร่จึงเหมาะสมนั้น สามารถอาศัยหลักคิดที่ว่ายิ่งนักลงทุนมีอายุน้อยก็น่าจะรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้มากขึ้นเนื่องจากมีระยะเวลาการลงทุนที่ยาวนาน ดังนั้น หากผู้ลงทุนมีอายุ 30 ปี ก็แนะนำให้ลงทุนในหุ้นด้วยสัดส่วน 70% ของเงินลงทุนทั้งหมด (ซึ่งคิดมาจาก 100- อายุ 30) และหากมีอายุ 60 ปี สัดส่วนการลงทุนในหุ้นจะเหลือ 40% เนื่องจากมีระยะเวลาลงทุนที่น้อยลง และเพิ่มสัดส่วนลงทุนในตราสารหนี้มากขึ้นแทน แต่ด้วยในปัจจุบันคนเรามีอายุขัยที่ยาวนานมากขึ้น ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้กฎข้อนี้สามารถตั้งต้นที่ตัวเลข 120 ก็ยังได้ นอกจากนี้ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำนั้น จึงทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับจากเงินลงทุนในตราสารหนี้ต่ำกว่าในอดีตอย่างมาก หากอายุผู้ลงทุนยังน้อย เช่น อายุ 25 และมีเงินเก็บสำหรับใช้จ่ายในยามฉุกเฉินแล้วก็อาจไม่จำเป็นต้องลงทุนในตราสารหนี้และเน้นลงทุนในหุ้นแทน
2. กระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทน
การกระจายการลงทุนนับว่าช่วยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนให้ลดลงและทำให้ผลตอบแทนดีขึ้นได้ เช่น ลงทุนในหุ้นอย่างน้อย 20 ตัว หรือเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆที่มีความสัมพันธ์กันต่ำก็จะยิ่งช่วยลดความผันผวนจากการลงทุนได้อย่างมาก อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างสินทรัพย์นั้นมีการเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ทำให้การจัดพอร์ตลงทุนจากที่เคยได้ผลในอดีตในการช่วยลดความเสี่ยงและรักษาผลตอบแทนให้ดีขึ้นนั้นอาจไม่ได้ผลในปัจจุบัน เช่น การกระจายการลงทุนในต่างประเทศจากที่เคยให้ผลตอบแทนได้ดีในอดีต แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาปรากฏว่าการลงทุนในต่างประเทศกลับให้ผลตอบแทนลดลงอย่างมาก ดังนั้น การกระจายลงทุนดังกล่าวก็จะทำให้ผลตอบแทนโดยรวมของพอร์ตลดลง
3. กฎ ‘4% Rule in Retirement’
อีกหนึ่งกฎการลงทุนของ Bill Bengen ซึ่งแนะนำนักลงทุนว่าสามารถใช้เงินสำหรับเกษียณอายุอย่างไรเพื่อให้มีเงินเหลือเพียงพอตลอดอายุขัย นั่นคือนักลงทุนสามารถถอนเงินออกมาใช้ได้ในอัตรา 4% ของเงินตั้งต้น จากนั้นปีถัดๆไปก็ถอนมาใช้ในอัตรา 4% บวกด้วยอัตราเงินเฟ้อในแต่ละปี ก็จะช่วยให้มีเงินใช้เพียงพอและไม่ต้องกังวลว่าเงินลงทุนจะหมดไป โดยหลักการ 4% นี้มาจากแนวคิดย้อนกลับว่าเงินตั้งต้นควรจะมีเท่าไหร่นั้นให้คิดจาก 25 เท่าของเงินที่ต้องการใช้จ่ายในแต่ละปีนั่นเอง เช่น ต้องการใช้จ่ายปีละ 50,000 เหรียญ เท่ากับว่าต้องมีเงินลงทุนตั้งต้นที่ 1.25 ล้านเหรียญนั่นเอง อย่างไรก็ตามกฎ 4% นี้ไม่ได้คำนึงถึงผลตอบแทนจากการลงทุนและการใช้จ่ายเงินที่เปลี่ยนแปลงไปได้ในอนาคต ซึ่งในความเป็นจริงแล้วผู้เกษียณอายุมักจะใช้จ่ายเงินจำนวนมากในช่วงแรกของการเกษียณเพื่อท่องเที่ยวเป็นต้น จากนั้นจะใช้จ่ายลดลงไปตามวัย และมากขึ้นในช่วงบั้นปลายชีวิตสำหรับค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายทางสุขภาพ นอกจากนี้ด้วยผลตอบแทนจากตราสารหนี้ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยต่ำมากนั้นอาจทำให้การถอนเงินออกมาใช้ 4%ตลอดไปอาจไม่เพียงพอไปตลอดอายุก็ได้
4. มีเงินสำรองยามฉุกเฉินอย่างน้อย 3-6 เดือน
โดยปกติเราควรจะมีเงินทุนสำรองที่เก็บไว้ใช้ในยามฉุกเฉินหรือเมื่อมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นและจำเป็นต้องใช้เงิน เช่น ค่าซ่อมรถ ค่ารักษาพยาบาล หรือในภาวะว่างงาน ซึ่งการมีเงินสำรองดังกล่าวก็จะทำให้เราไม่ต้องนำเงินสำหรับการลงทุนระยะยาวออกมาใช้และช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายทางการเงินที่ตั้งใจไว้ได้ และถ้าเป็นไปได้ก็อาจเพิ่มเงินทุนสำรองก้อนนี้ให้สามารถรองรับการใช้งานได้นานถึง 1 ปี เพื่อให้แน่ใจว่ามีเงินเพียงพอรองรับค่าใช้จ่ายต่างๆในยามจำเป็นโดยไม่ต้องไปขายสินทรัพย์ลงทุนในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสม