หากหุ้นจีนถูกเอาออกจากตลาดสหรัฐ

หุ้นจีนและ ETFs ในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างผันผวนอย่างมาก โดยในช่วงต้นเดือนมีนาคม Hang Seng Index ปรับลดลงมากกว่า 20% และลดลงต่ำสุดในรอบ 6 ปี ขณะที่ Hang Seng Tech Index ปรับลงกว่า 40% ส่วน Morningstar China Index ปรับลดลง 28.5% ในช่วงเวลาเดียวกัน เหตุผลหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นปรับลดลงนั้นมาจากการ lockdowns ประเทศของจีนอีกครั้งหลังการระบาดของโควิด รวมถึงกรณีที่สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐส่งสัญญาณว่าจะถอด 5 หุ้นจีนออกจากการจดทะเบียนในสหรัฐ ทั้ง NYSE และ NASDAQ หากบริษัทเหล่านั้นไม่ปฏิบัติตามกฎการบัญชีและเปิดเผยข้อมูลให้มากพอ (5 บริษัทได้แก่ YumChina YUMC, ACM Research ACMR, BeiGene BGNE, Zai Lab ZLAB, HutchMed HCM)

ราคาหุ้นที่ปรับลดลงมาอย่างมากนั้นอาจเป็นโอกาสให้นักลงทุนได้เข้าซื้อหุ้นในราคาที่ถูกอย่างมากได้ โดยเฉพาะหุ้น Tech ของจีนที่ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 30% หลังจากที่ทางการจีนก็ให้การสนับสนุนในแผนความร่วมมือกับหน่วยงานกํากับดูแลของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดีแม้หุ้นจะเด้งตัวขึ้น แต่นักลงทุนในตลาด  ETFs ยังคงขาดทุนจากการปรับลดลงในช่วงที่ผ่านมา โดย Invesco Golden Dragon China ETF PGJ ยังคงติดลบ 9.4% ตั้งแต่ช่วงต้นปี จากปีก่อนหน้าที่ลดลงถึง 42.8% หรืออย่าง KraneShares CSI China Internet ETF KWEB ที่เน้นลงทุนใน Chinese tech firms ยังคงติดลบอยู่ 8.0% จากปีก่อนหน้าที่ลดลงถึง 50% ขณะที่ iShares MSCI China ETF MCHI ปรับลดลง 6.4%

ข้อมูลจาก Morningstar Direct พบว่า ETF หุ้นจีนที่อยู่ในตลาดสหรัฐนั้นมีมูลค่ารวมกันประมาณ 37 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย 16% ของสินทรัพย์เป็น ADRS และ 5% ของสินทรัพย์เหล่านั้นเป็นบริษัทจีนที่จดทะเบียนในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น สำหรับ ETFs ที่มีการลงทุนจำนวนมากใน 5 บริษัทที่มีความเสี่ยงว่าจะถูกถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์ ได้แก่ (รายละเอียดตามรูปด้านล่าง)

ทั้งนี้ Global X MSCI China Health Care ETF CHIH มีการลงทุนจำนวนมากใน BeiGene (5.9% weight), HutchMed (1.8%) และ Zai Lab (2.7%) ขณะที่ Global X MSCI China Consumer Disc ETF CHIQ และ KraneShares MSCI China ESG มีการลงทุนใน YumChina YUMC ในสัดส่วน 4.1% และ 2.6% ตามลำดับ

หากบริษัทเหล่านั้นถูกถอดออกจากการจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐจริงๆจะกระทบต่อ ETFs ที่มีการลงทุนอย่างไรบ้าง ?

Lorraine Tan ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยตราสารทุนประจำภูมิภาคเอเชียของ Morningstar ให้ความเห็นว่า จะไม่มีผลใดๆมากนักต่อผู้ถือหน่วย ETFs นอกจากความผันผวนของราคาที่เกิดขึ้น เนื่องจากกองทุนสามารถที่จะแปลงสถานะ ADR ใน US ที่ถืออยู่เป็นหุ้นของบริษัทเหล่านั้นที่จดทะเบียนในฮ่องกงแทน และการถอนหุ้นออกจากตลาดสหรัฐก็ไม่ได้มีผลกระทบปัจจัยพื้นฐานของบริษัท มูลค่าพื้นฐานยังคงไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ดีอาจมีค่าใช้จ่ายในการแปลงหุ้นเล็กน้อย ตัวอย่างเช่นกรณี CNOOC หรือ the China National Offshore Oil Corporation ที่เคยถูกถอดออกจากตลาดในปี 2001 นั้น การแปลงหุ้นมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ $5 ต่อ 100 ADRs

ทั้งนี้ บางกองทุนได้เตรียมพร้อมรับกรณีที่หุ้นของบริษัทเหล่านั้นจะถูกถอดออกจากตลาดสหรัฐบ้างแล้ว อย่างเช่น KWEB KraneShares ที่มีสินทรัพย์บริหารจัดการอยู่ $6.9 พันล้าน ได้เริ่มแปลงสภาพ ADR ของบริษัทเหล่านั้นจากที่จดทะเบียนใน US ไปเป็นหุ้นที่จดทะเบียนในฮ่องกงแทน แม้ว่าผู้จัดการกองทุนจะเชื่อมั่นว่าปัญหาการถอดหุ้นออกจากตลาดสหรัฐนั้นจะไม่เกิดขึ้น แต่การเตรียมพร้อมไว้ก่อนก็เพื่อประโยชน์ที่ดีที่สุดแก่ผู้ถือหน่วย