5 ปัจจัยการลงทุนในไตรมาส 4

หลังจากที่ช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ Morningstar US Market Index ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 20% แต่ในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Index เริ่มปรับลงกว่า 5% แล้ว 

Morningstar 28/09/2566
Facebook Twitter LinkedIn

หลังจากที่ช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ Morningstar US Market Index ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 20% แต่ในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Index เริ่มปรับลงกว่า 5% แล้ว แม้ว่าตัวเลขหลายๆด้านจะออกมาดี ทั้งประกอบการไตรมาส 2 ตัวเลขการบริโภคภาคเอกชน รวมถึงเศรษฐกิจโดยรวมก็ตาม ภาพตลาดหุ้นจากนี้จะเป็นอย่างไรนั้นมีปัจจัยที่ต้องติดตามดังนี้

แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย

แม้นักลงทุนจะคาดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed จะจบลงแล้วแต่อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้สหรัฐยังคงปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง (ส่งผลให้ราคาตราสารปรับลดลง) โดยเฉพาะหลังจากที่ผลการประชุม Fed ล่าสุดส่งสัญญาณว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงไปอีกระยะ ทำให้ U.S. Treasury 10-year ปรับตัวขึ้นแตะ 4.48% ขณะที่ตลาดหุ้นปรับลดลงเนื่องจากเปรียบเทียบแล้วตราสารหนี้ยังมีความเสี่ยงที่น้อยกว่าตลาดหุ้น และให้ผลตอบแทนที่ดี การลงทุนในตลาดตราสารหนี้จึงมีความน่าสนใจมากขึ้นในช่วงนี้

1

อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับสูงได้อีกนานเท่าไหร่

แม้ Fed จะหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับลดลง เนื่องจาก Fed จําเป็นต้องมีนโยบายที่ยังเข้มงวดเพื่อให้สามารถลดอัตราเงินเฟ้อลงสู่เป้าหมายได้ และด้วยอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงก็ยิ่งทำให้ต้นทุนการกู้ยืมของภาคธุรกิจต่างๆเพิ่มสูงขึ้นและส่งผลต่อกำไรของบริษัทต่างๆในอนาคต

ตลาดหุ้นหยุดรอบขาขึ้น

1

Ben Bakkum นักกลยุทธ์การลงทุนที่ Betterment กล่าวว่าตลาดหุ้นถูกขายอย่างหนักในปี 2022 หลังจากที่ Fed ขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างมากในช่วงดังกล่าว รวมถึงเกิดการระบาดของ COVID-19 ขณะที่ตลาดหุ้นในปีนี้เป็นภาพของการฟื้นคืนจากที่ปรับตัวลงมากก่อนหน้านั่นเอง แต่ด้วยการเติบโตของเศรษฐกิจที่ยังช้า ความไม่เชื่อมั่นของภาคธุรกิจต่ออนาคตข้างหน้า ก็ส่งผลให้ตลาดหุ้นซื้อขายอยู่ในกรอบไม่ไปไหน

เศรษฐกิจจะ Soft Landing หรือไม่

แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจจากนี้คาดว่าจะชะลอตัวลงแต่ไม่ถึงขั้นเศรษฐกิจถดถดอย อย่างไรก็ดีตัวแปรสำคัญที่จะส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคให้เปลี่ยนแปลงและอาจมีผลต่อภาวะเศรษฐกิจนั้นได้แก่ การชำระคืนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา การปรับขึ้นของราคาพลังงาน อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นซึ่งส่งผลทำให้มีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในอนาคต ทั้งค่าผ่อนบ้าน บัตรเครดิต และเงินกู้ต่างๆ สิ่งเหล่านี้อาจส่งผลทำให้การใช้จ่ายของผู้บริโภคปรับลดลงและนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ ซึ่งก็จะส่งผลเสียมายังกำไรของบริษัทต่างๆและตลาดหุ้น

ราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังคงมีผลต่อตลาดหุ้นโดยรวมหรือไม่

ตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับขึ้นในช่วงก่อนหน้านี้ ยังคงเป็นที่กังวลของนักลงทุนว่าตลาดจะยังขึ้นต่อได้หรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมาเป็นการปรับขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่เพียงไม่กี่บริษัท อย่างเช่น Apple และ Nvidia เท่านั้น อย่างไรก็ดี Ben Bakkum นักกลยุทธ์การลงทุนที่ Betterment เชื่อว่าจากนี้ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานน่าจะเป็นกลุ่มที่ยังดีเนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น แต่โดยรวมการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังคงมีผลต่อภาพตลาดหุ้นโดยรวมอยู่ดี

สรุปภาพการซื้อขายของตลาดในช่วงสัปดาห์ก่อนหน้า (สิ้นสุด 22 Sep)

Morningstar US Market Index ปรับลง 2.8% โดย Sectors ที่ยังดีกว่าตลาดโดยรวมได้แก่ Healthcare และ Consumer defensives ส่วนกลุ่มที่แย่ได้แก่ Consumer cyclicals ด้านผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 10-year U.S. Treasuries ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 4.43% และราคาน้ำมัน WTI ลดลงเล็กน้อยเหลือ $90.03

 

 

 

 

 

 

Facebook Twitter LinkedIn

About Author

Morningstar  Morningstar