กฎ 4 ข้อสำหรับนักลงทุนในปี 2024

แม้ว่าจะมีความกังวลมากมายในปี 2023 แต่ก็กลับเป็นปีที่ดีสำหรับนักลงทุน ความกลัวที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยนั้นไม่เกิดขึ้น

Morningstar 08/01/2567
Facebook Twitter LinkedIn

แม้ว่าจะมีความกังวลมากมายในปี 2023 แต่ก็กลับเป็นปีที่ดีสำหรับนักลงทุน ความกลัวที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยนั้นไม่เกิดขึ้นถึงแม้ Fed จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดในรอบทศวรรษที่ผ่านมาเพื่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อ รวมถึงมีความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ก็ตาม แต่ตลาดหุ้นและพันธบัตรก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดย Morningstar US Market Index เพิ่มสูงขึ้นกว่า 25% และ Morningstar US Core Bond Index เพิ่มสูงขึ้นเกือบ 5.5%

ปี 2024 จะเป็นเหมือนเดิมหรือไม่?

John Bellows ผู้จัดการกองทุนที่ Western Asset Management เชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อจะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไปในปี 2024 และกลยุทธ์สำหรับการลงทุนในช่วงที่เงินเฟ้อต่ำและมีเสถียรภาพนั้นจะสามารถนำกลับมาใช้ใหม่จากนี้ไป

ถึงเวลาของตราสารหนี้

หลังจากที่นักลงทุนขาดทุนจากตราสารหนี้มาเกือบตลอดปี 2023 จาก Bond yield ที่เพิ่มขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่เมื่อการปรับขึ้นของอัตราเงินเฟ้อนั้นชะลอลง และตลาดเชื่อมั่นว่า Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2024 ก็ส่งผลให้ราคาในตลาดตราสารหนี้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงปลายปี

1

ทั้งนี้นักวิเคราะห์คาดว่าแนวโน้มนี้จะดำเนินต่อเนื่องไปในปี 2024 โดย Kristy Akullian ตำแหน่ง iShares senior investment strategist ที่ BlackRock แนะว่านักลงทุนควรให้น้ำหนักลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว (อายุ 5-7 ปี) มากกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น ด้าน John Bellows กล่าวว่าสภาวะที่อัตราดอกเบี้ยลดลงและเงินเฟ้อที่ต่ำนั้น ทำให้ตราสารหนี้เป็นสิ่งที่ช่วยกระจายการลงทุนได้ดีให้กับ Portfolio และจากในอดีตที่หุ้นและตราสารหนี้เคยมีความสัมพันธ์ไปในทางเดียวกัน (ปรับขึ้นและลงไปทางเดียวกัน) เขาคิดว่าจากนี้ไปความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ตราสารจะอยู่ในทิศทางที่ผกผันกันในอนาคต

แม้ที่ผ่านมาสินทรัพย์ที่เสี่ยงเช่นหุ้นจะให้ผลตอบแทนที่ดี แต่หากเกิด Geopolitical shock หรือเศรษฐกิจตกต่ำ การที่มีการลงทุนในตราสารหนี้จึงเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดีใน Portfolio การลงทุน

เงินสดนั้นไม่ใช่ราชาอีกต่อไป

ผลตอบแทนจากการถือเงินสดนั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วใน 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้จากการที่ไม่ต้องลงทุน แต่เมื่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยกำลังปรับลง (ซึ่งอาจจะไม่มากเท่า 15 ปีก่อน) ทำให้เป็นสิ่งที่ดีกว่าหากนักลงทุนนำเงินสดที่มีมาลงทุนแทน ทั้งนี้ Bellows ชี้ให้เห็นว่าในช่วงเวลาที่เงินเฟ้อลดลง และ Fed ได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาจนถึงจุดสูงสุดและเริ่มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงนั้น การถือเงินสดจะให้ผลตอบแทนที่แย่กว่าสินทรัพย์อื่นๆในระยะยาว ดังนั้นนักลงทุนจึงควรลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวเพื่อ Lock ผลตอบแทนที่สูงในตอนนี้ไว้ แล้วรอรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากการที่อัตราดอกเบี้ยลดต่ำลงในอนาคต ด้าน Kristy Akullian เสริมว่านักลงทุนไม่ควรรอให้ Fed ลดอัตราดอกเบี้ยจึงเริ่มลงทุน แต่ควรลงทุนก่อนอย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป ซึ่งจะทำให้นักลงทุนได้ผลตอบแทนที่สูงจากตราสารหนี้ในช่วงนี้อีกด้วย

การปรับขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐ

แม้ว่าในปี 2023 นั้น หุ้น Tech ขนาดใหญ่อย่างกลุ่ม “Magnificent Seven”  จะวิ่งนำตลาดหุ้นสหรัฐให้ปรับเพิ่มขึ้น แต่คาดว่าโอกาสที่หุ้นกลุ่มนี้จะขึ้นนำตลาดได้อีกในปี 2024 นั้นมีลดลง

1

Kristy Akullian เชื่อว่าหลังจากที่ในปี 2023 เป็นปีของหุ้น Tech ขนาดใหญ่ แต่ในปี 2024 นี้เชื่อว่าตลาดหุ้นโดยรวมจะปรับเพิ่มขึ้นโดยไม่ได้กระจุกตัวเพียงแค่หุ้นไม่กี่บริษัทเท่านั้น หุ้นที่ดีและราคายังไม่ปรับขึ้นในปีที่แล้วก็คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นในปีนี้ได้ ทั้งกลุ่มหุ้นขนาดเล็ก หุ้นกลุ่มการเงิน รวมถึงโอกาสลงทุนในตลาดต่างประเทศอีกด้วย

เน้นลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพ

ความตื่นเต้นจากโอกาสที่ Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยได้ส่งผลให้ตลาดหุ้นเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ ทำให้มีโอกาสที่ตลาดจะปรับลงในปีนี้ และผลกระทบจากวงจรดอกเบี้ยขาขึ้นที่ผ่านมาอาจยังไม่ส่งผลให้เห็นในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์หลายคนก็คาดหวังการเติบโตของเศรษฐกิจที่ช้าลง Kristy Akullian จึงยังแนะนำให้ลงทุนในบริษัทที่มีงบดุลที่แข็งแรงและมีการก่อหนี้ที่ต่ำซึ่งจะเป็นตัวช่วยนักลงทุนให้ผ่านพ้นในช่วงที่แย่ของตลาดไปได้

Facebook Twitter LinkedIn

About Author

Morningstar  Morningstar