หุ้น Value Stocks ในปี 2024

หลังจากปีที่ผ่านมาเป็นปีของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่ในปีนี้อาจได้เห็น Value Stocks กลับมาฟื้นตัวได้ดี

Morningstar 17/01/2567
Facebook Twitter LinkedIn

หลังจากปีที่ผ่านมาเป็นปีของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่ในปีนี้อาจได้เห็นValue Stocks กลับมาฟื้นตัวได้ดี ทั้งนี้ Morningstar US Value Index ให้ผลตอบแทน 12% ในปีที่แล้ว ซึ่งน้อยกว่าผลตอบแทนของ Morningstar US Market Index ที่ 26.5% ขณะที่กลุ่ม Growth stocks ให้ผลตอบแทนได้มากถึง 38.5% ส่วนปีนี้ราคากลุ่ม Value Stocks ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงมาก ขณะที่หุ้นกลุ่ม Growth ปรับลดลง 1.8%

Value Stocks และ Growth Stocks

หุ้นกลุ่ม Value มักจะหมายถึงบริษัทที่ดีมีกำไรที่มั่นคง มีโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืน ชอบจ่ายปันผลเนื่องจากมีกระแสเงินสดสม่ำเสมอ และราคาหุ้นซื้อขายอยู่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง อย่างเช่น กลุ่มธนาคาร เฮลแคร์ และอุตสาหกรรม ด้านหุ้นGrowth เป็นบริษัทที่นักลงทุนเชื่อว่าราคาจะปรับขึ้นได้ดีจนชนะตลาดในอนาคต แม้ว่าปัจจุบันยังไม่มีกำไรก็ตาม ทำให้มักมีความเสี่ยงและความผันผวนสูง อย่างเช่นหุ้นกลุ่ม Magnificent Seven หรือ Nvidia, Tesla, Meta Platforms, Apple, Amazon.com, Microsoft และ Alphabet

Ed Clissold หัวหน้านักกลยุทธ์การงลงทุนที่ Ned Davis Research กล่าวว่าสภาพเศรษฐกิจที่ผ่านมาช่วยส่งเสริมให้หุ้น Growth ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ทั้งนี้กลุ่มValue Stocks โดยเฉพาะหุ้นวัฐจักร อย่างเช่นกลุ่มอุตสาหกรรมและพลังงานมักปรับขึ้นได้ดีในช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตแข็งแกร่ง ขณะที่ในช่วงเศรษฐกิจขาลงหุ้น Value Stocks อย่างเช่นกลุ่มสาธารณูปโภคก็จะเป็นที่นิยม ขณะที่หุ้นกลุ่มGrowth จะเหมาะสมในช่วงกลางทางของเศรษฐกิจที่ซบเซา

1

ภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าปกติในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาทำให้เกิดความไม่สมดุล โดย Lara Castleton หัวหน้ากลุ่มจัดการลงทุนที่ Janus Henderson Investors เผยว่าในช่วงที่ดอกเบี้ยต่ำจนเป็นศูนย์ ทำให้นักลงทุนในตลาดมองหาการลงทุนหุ้นกลุ่ม Growth หรือเป็นหุ้นที่มีกระแสเงินสดในระยะยาวมากกว่าการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Value รวมไปถึงช่วงที่ COVID-19 ระบาด ก็ทำให้หุ้น Growth อย่าง Apple และ Netflix ได้ประโยชน์จากการที่คนอยู่บ้านกันมากขึ้นอีกด้วย

ปี 2022 เป็นปีที่ Value Stocks เอาชนะตลาดโดยรวม

ขณะที่ในปี 2022 ที่ Fed ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อคุมเงินเฟ้อ ส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับลดลงเนื่องจากนักลงทุนต้องการลดความเสี่ยงลง ทำให้ Morningstar US Growth Index ปรับลดลงถึง 36.7% ขณะที่ Value Index บวก 0.7%

John Stoltzfus หัวหน้ากลยุทธ์การลงทุนที่ Oppenheimer Investment Management กล่าวว่าที่ผ่านมาอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำมานานทำให้หุ้น Value ไม่เป็นที่นิยม แต่ตอนนี้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงแล้วซึ่งไม่เป็นผลดีกับหุ้นกลุ่ม Growth

Value Stocks ในปี 2023

ปี 2023 เป็นอีกปีที่แย่สำหรับหุ้น Value แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังคงปรับขึ้นก็ตาม ซึ่งเป็นเพราะการเกิด Regional banking crisis ส่งผลให้หุ้นการเงินซึ่งมีน้ำหนักที่สูงมากในกลุ่ม Value ปรับตัวลดลง เนื่องจากความกังวลต่อความเสี่ยงด้านเงินฝากและอัตราดอกเบี้ย ส่วนกลุ่ม Magnificent Seven ปรับเพิ่มขึ้นแทน ซึ่งเป็นผลมาจากกระแส AI ที่นักลงทุนต่างให้ความสำคัญในปีที่แล้ว

1

Value Stocks มีมูลค่าที่ต่ำจนเกินไป

หุ้นกว่า 700 บริษัทภายใต้การวิเคราะห์ของ Morningstar ในกลุ่ม Value พบว่าปัจจุบันมีราคาตลาดที่ต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน หรือมีอัตราส่วนของราคาซื้อขายปัจจุบันเทียบกับมูลค่าพื้นฐานอยู่ต่ำกว่า 1 เท่า ซึ่งแปลว่าหุ้น Value นั้นๆอยู่ในภาวะที่เรียกว่า Undervalued อย่างมาก โดยเฉพาะหุ้น Value ขนาดเล็กที่มีราคาซื้อขายปัจจุบันเทียบกับมูลค่าพื้นฐานอยู่ที่เพียง 0.84% ดังนั้น Dave Sekera หัวหน้านักกลยุทธ์ตลาดสหรัฐที่ Morningstar จึงเชื่อว่านี่เป็นโอกาสที่ดีในการเข้าลงทุนหุ้น Value

1

ขณะที่การลงทุนในหุ้นที่ซื้อขายในระดับที่แพงอย่าง Magnificent Seven มีความน่าสนใจลดลงเนื่องจากภาวะดอกเบี้ยหรือต้นทุนของเงินทุนไม่ได้อยู่ในระดับต่ำอีกต่อไป นักลงทุนจึงลังเลที่จะจ่ายเงินเพื่อลงทุนในหุ้นที่ซื้อขายแพงอีกต่อไป

ความเสี่ยงและโอกาสลงทุนใน Value Stocks

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการลงทุนใน Value stocks จากนี้ไปขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยและภาวะเศรษฐกิจ เมื่อ Fed ส่งสัญญาณว่าจะหยุดขึ้นอัตราดอกเบี้ยและมีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ตลาดตราสารหนี้ก็ส่งสัญญาณถึงการคาดการณ์ว่าจะเกิดการลดอัตราดอกเบี้ยลงครั้งแรกในช่วงเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งในความเป็นจริงก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่า Fed จะตัดสินใจอย่างไรและถ้าเงื่อนไขทางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงก็อาจส่งผลให้การคาดการณ์นั้นเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน ซึ่งหากอัตราดอกเบี้ยปรับลดลงมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก็อาจกลายเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่ม Growth แทน ในทางกลับกันหากอัตราดอกเบี้ยปรับลดลงน้อยกว่าคาดกาณ์หรือชะลอก็จะเป็นปัจจับยบวกต่อหุ้นกลุ่ม Value

Jeff Buchbinder หัวหน้ากลยุทธ์ตราสารทุนที่ LPL Financial กล่าวว่าทิศทางเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดาแต่เชื่อว่าแนวโน้มจะยังไม่ได้ดีขึ้นมากจนเป็นปัจจัยบวกต่อ Value stocks ได้ และเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยจะลดต่ำลงซึ่งจะเป็นปัจจัยที่เอื้อต่อการลงทุนในหุ้น Growth มากกว่า

ในช่วงที่อัตราเติบโตของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างช้าๆเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับการลงทุนในหุ้น Defensive อย่างกลุ่มสาธารณูปโภคและกลุ่ม Consumer stables แต่ก็จะไม่ดีสำหรับหุ้นกลุ่มการเงินและพลังงาน อย่างไรก็ดีหากทิศทางอัตราดอกเบี้ยกลับมาอยู่ในระดับปกติก็จะเป็นสัญญาณบวกต่อหุ้นกลุ่มการเงินได้

 

 

 

 

 

 

Facebook Twitter LinkedIn

About Author

Morningstar  Morningstar