หากต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น

หากต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น จงหลีกเลี่ยง 5 ข้อต่อไปนี้    

Morningstar 09/02/2567
Facebook Twitter LinkedIn

1

ช่วง 2 ปีก่อนหน้า อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ยังอยู่ในระดับต่ำแค่ 2%  แต่หลังจากนั้น Bond yield ได้ปรับขึ้นถึงกว่า 2 เท่าจากการที่ Fed พยายามควบคุมเงินเฟ้อให้อยู่ในเป้าหมายผ่านการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายถึง 11 ครั้ง อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นส่งผลกระทบทางลบทั้งต่อตลาดหุ้นและตราสารหนี้ เนื่องจาก Bond yield ที่สูงกดดันราคาของตราสารหนี้ให้ปรับลดลงจากที่ก่อนหน้านี้อยู่ในระดับสูงจากการที่ Yield ต่ำมาก่อน และBond yield ที่สูงยังส่งผลต่อเศรษฐกิจให้เติบโตชะลอลงและกระทบต่อราคาตราสารทุนในตลาดอีกด้วย

อย่างไรก็ดีอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นย่อมส่งผลดีต่อนักลงทุน เนื่องจากทำให้อัตราผลตอบแทนระยะยาวของทั้งตราสารหนี้และสินทรัพย์อื่นๆสูงขึ้นไปด้วย หรือก็คือนักลงทุนสามารถได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นโดยที่ไม่ต้องเผชิญความเสี่ยงที่สูงอย่างการลงทุนในหุ้น ทั้งนี้ การลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นอาจมีความผิดพลาดหากสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น

1: การถือเงินสดจำนวนมาก

ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำการจะหาผลตอบแทนที่มากขึ้นก็อาจเพิ่มขึ้นได้อีกไม่มาก จึงอาจไม่จูงใจให้นักลงทุนแสวงหาผลตอบแทนเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไปการจัดสรรเงินลงทุนมีความสำคัญมากขึ้นจากความแตกต่างของผลตอบแทนระหว่างการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น ลงทุนในกลุ่ม High yield เทียบกับการถือเงินสดในบัญชีที่ให้ผลตอบแทนต่ำนั้นมีความหมายที่ต่างกันมากขึ้น

2: จัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำเพื่อหวังผลตอบแทนที่แน่นอน

ในช่วงปี 2022-2023 ที่ Bond yield ปรับสูงขึ้นและส่งผลให้ตลาดหุ้นและตราสารหนี้ผันผวนนั้น นักลงทุนบางส่วนจึงเน้นการฝากเงินในบัญชีเงินฝาก หรือลงทุนใน Money market funds แทน เพื่อรักษาเงินต้นและผลตอบแทนแลกกับการลงทุนในหุ้นที่มีความไม่แน่นอนสูง อย่างไรก็ดีหากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปรับลดลง การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นหรือบัญชีเงินฝากก็ต้องเจอความเสี่ยงจากอัตราผลตอบแทนที่ลดลง ดังนั้นจึงควรลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุครบกำหนดยาวๆเพื่อ Lock ผลตอบแทนที่สูงไว้ก่อน เพราะในอนาคตอาจมีความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยที่เปลี่ยนทิศได้

3. ไม่ให้ความสำคัญต่ออัตราเงินเฟ้อ

ในความเป็นจริงเงินเฟ้อทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนนั้นลดลงไปด้วย เช่น หากลงทุนในพัธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีและได้ผลตอบแทนที่ 5% แต่หากคิดรวมผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อผลตอบแทนที่ได้จริงๆก็ไม่ถึง 5% ดังนั้นหากเปรียบเทียบระหว่าง เงินสด ตราสารหนี้ และหุ้น การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่สูงและเอาชนะเงินเฟ้อได้ดีที่สุดในระยะยาวคือ หุ้น นั่นเอง

4. การจัดสรรเงินลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูงที่มากจนเกินไป

ในช่วงที่กังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย ผลตอบแทนของตราสารหนี้กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง (High yield) ได้ปรับเพิ่มขึ้นและดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนอย่างมากเมื่อเทียบกับตราสารหนี้กลุ่มที่มีคุณภาพสูง (High-quality bonds) และราคาตราสารในกลุ่ม High yield ยังได้รับผลกระทบน้อยในช่วงที่ Yield ในตลาดปรับเพิ่มขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ดีหากเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยจริงหรือในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับลดลงอย่างมาก การลงทุนในตราสารกลุ่ม High yield ก็ได้รับผลกระทบมากไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นการจัดพอร์ตการลงทุนก็อาจให้น้ำหนักส่วนหนึ่งในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงสูงได้แต่ไม่ใช่ใส่เงินทั้งหมดที่มีลงทุนในกลุ่มนี้ทั้งหมด และถ้าเทียบแล้วหากต้องการใส่เงินจำนวนมากในตราสารกลุ่ม High yield การลงทุนในหุ้นก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีพอๆกัน

5.ไม่ให้ความสำคัญเรื่องภาษีจากเงินลงทุน

เนื่องจากเงินลงทุนในบางสินทรัพย์อาจต้องเสียภาษี เช่น ภาษีจากรายได้ดอกเบี้ย ทำให้ผลตอบแทนที่ได้รับจริงน้อยกว่าที่คาดการณ์ ทั้งนี้ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำผลกระทบจากภาษีที่ต้องจ่ายก็คงไม่มีผลมาก แต่ในสภาวะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงอย่างในตอนนี้ภาษีที่ต้องจ่ายจากรายได้ดังกล่าวก็มีจำนวนที่มากขึ้น ดังนั้นจึงอาจเลือกกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์อื่นๆที่มีอัตราภาษีที่น้อยหรือได้รับการยกเว้นภาษีก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสม

Facebook Twitter LinkedIn

About Author

Morningstar  Morningstar