การพิจารณาลงทุนในบริษัทที่มีมูลค่าซื้อขายในตลาดต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน หรือ Undervalued และเป็นบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง จะทำให้นักลงทุนได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ทั้งนี้ Morningstar ได้จัดทำ Morningstar Wide Moat Focus Index ซึ่งเป็นการรวบรวมเฉพาะหุ้นที่มีราคาต่ำและวิเคราะห์แล้วว่ามีความสามารถในการแข่งขันสูงในระยะยาว ด้านผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลังในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาพบว่าสูงกว่า Morningstar US Market Index ถึง 2 เท่า
‘Magnificent Seven’
ในช่วงที่ผ่านมาหุ้นกลุ่ม Magnificent Seven หรือ Nvidia , Meta Platforms , Apple , Amazon.com , Microsoft , Alphabet และ Tesla ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างมาก โดยจากการวิเคราะห์ความสามารถในการแข่งขันพบว่ามีในทั้ง 6 บริษัทที่เข้าเกณฑ์ Wide-moat (ยกเว้นแต่เพียง Tesla ที่ได้แค่ระดับ Narrow-moat) และตั้งแต่ต้นปี 2023 มีจำนวน 5 บริษัทจาก 6 บริษัทในกลุ่ม Magnificent Seven ที่ได้จัดอันดับเข้ามาอยู่ใน Wide Moat Focus Index ซึ่งมีน้ำหนักรวมกันสูงถึง 11% ของ Index
สำหรับปีที่แล้ว Morningstar Wide Moat Composite Index ให้ผลตอบแทนถึง 30.3% สูงกว่า US Market Index ที่ให้ผลตอบแทน 19.9% ส่วน Wide Moat Focus Index ให้ผลตอบแทน 16.4% ซึ่งยังสูงกว่าหุ้นในกลุ่ม Narrow-moat และกลุ่มทั่วไปที่ไม่มี Moats
Moat stocks ให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
แม้ว่าปีที่ผ่านมาWide Moat Focus Index จะให้ผลตแบแทนแพ้ตลาดโดยรวม แต่หากย้อนไปช่วงปี 2007 หลังจากที่มีการจัดทำ Index จะพบว่าในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา Index ดังกล่าวให้ผลตอบแทนสูงถึง 1,070.81% สูงกว่า US Market Index ที่ให้ผลตอบแทนสะสมเพียง 547.50% ด้าน Morningstar Wide Moat Composite Index ก็ให้ผลตอบแทนที่ดีเช่นกันถึง 562% ดังนั้นการลงทุนในบริษัทที่มีคุณภาพ มีความสามารถในการแข่งขัน และลงทุนในขณะที่ราคายัง Undervalued จึงเป็นการลงทุนที่ดีในระยะยาว
ความหมายของหุ้นที่เป็น Moat stocks
บริษัทที่เข้าข่ายในกลุ่ม Economic moats คือบริษัทที่มีความสามารถในการแข่งขันระยะยาว ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในบริษัทเหล่านี้ โดย Morningstar จะชี้วัดและคัดกรองจากปัจจัยด้าน Network effect, Switching costs, Intangible assets, Cost advantage และ Efficient scale โดยบริษัทที่ถือว่าอยู่ในกลุ่ม Wide moats เชื่อว่าจะต้องมีความสามารถในการแข่งขันได้อย่างน้อย 20 ปีในธุรกิจ ทั้งนี้มีจำนวนบริษัททั้งสิ้น 156 บริษัทจาก 1,321 บริษัทใน US Market Index ที่ได้รับ Wide moat rating
ข้อดีของการมี Economic moats และหุ้นที่มีราคาต่ำ
ปกติการที่หุ้นจะให้ผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุน ต้องเริ่มมาจากการที่มูลค่าในตลาดยังต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงอย่างมาก เพราะหากซื้อหุ้นที่ราคาขึ้นมาแล้วแม้ว่าจะเป็นบริษัทที่ดีก็ตามก็คงหากำไรจากตัวนั้นได้ยาก แต่สำหรับบริษัทที่มี Economic moat จากข้อมูลในอดีตพบว่าแม้ราคาจะปรับขึ้นมาแล้วแต่ก็ยังมีผลตอบแทนที่ดีและชนะตลาดได้ตลอดช่วงเวลาที่ชี้วัด กระแสเงินสดของกิจการจะเติบโตต่อเนื่องแบบทบต้นทบดอก ความเสี่ยงของการล้มละลายมีต่ำ และการลงทุนใน R&D จะยิ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กิจการ ดังนั้นการที่ราคาหุ้นจะขึ้นได้ดีในระยะยาวจะมาจากส่วนผสมของทั้งการมีมูลค่าที่ต่ำจนน่าสนใจและมีคุณภาพของกิจการที่ดี
หุ้นคุณภาพดีและราคามั่นคง
หากดูจากค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานย้อนหลัง 5 ปี 10 ปี และ 15 ปี พบว่าราคาหุ้นที่มี Moat rating มักจะผันผวนน้อยกว่าหุ้นที่ไม่มี Moat และหุ้นกลุ่มที่ได้รับ Wide-moat ก็จะผันผวนน้อยกว่ากลุ่ม Narrow-moat ทั้งนี้ หุ้นที่มี Moat ก็มักจะมีความผันผวนของราคาต่ำในช่วงที่ตลาดปรับตัวลง ขณะที่ช่วงตลาดขาขึ้นหุ้นกลุ่มนี้ก็จะให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่าเช่นกัน แต่โดยรวมก็ทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
หุ้นที่มีน้ำหนักมากและมีผลต่อ Wide Moat Focus Index
สำหรับ Sector ที่มีน้ำหนักและผลต่อการขึ้นลงของ Wide Moat Focus Index ประกอบไปด้วยหลายส่วน ได้แก่ Technology, Healthcare, Financial services, Industrials และ Consumer defensives โดยหุ้นที่มี Performance ของราคาที่ดีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาและมีน้ำหนักในดัชนีค่อนข้างมาก เช่น Applied Materials และ Cheniere Energy ขณะที่หากเทียบกับ US Market Index หุ้นที่มีน้ำหนักและมีผลต่อการขึ้นลงของดัชนีจะเป็น กลุ่ม Apple, Microsoft, Nvidia, Amazon, Meta และ Alphabet