Awards Winner - Equity General

หลังวิกฤต Hamburger crisis ในปี 2008 ตลาดหุ้นทั่วโลกและไทยเริ่มฟื้นและปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งโดยธรรมชาติของตลาดหุ้น หุ้นที่ฟื้นตัวได้ก่อนในช่วงแรกคือ หุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap) ที่มีประสิทธิภาพและพื้นฐานดีก็จะกลับมาก่อนเป็นกลุ่มแรก เป็นผลมาจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อหุ้นกลุ่มนี้ จากนั้นหุ้นขนาดกลางและเล็ก (Medium/Small cap) ก็จะค่อยได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนในลำดับต่อมา 

จะสังเกตได้ว่าตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา หุ้นขนาดกลางและเล็กในตลาดหุ้นไทยเล่นบทเป็นพระเอกสามารถสร้างผลตอบแทนเอาชนะหุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap) ได้อย่างต่อเนื่อง กองทุนหุ้นขนาดกลางและเล็กก็เช่นกันสามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าประทับใจให้แก่นักลงทุน จึงทำให้บทบาทของกองทุนหุ้นขนาดกลางและเล็กเด่นชัดขึ้นมาในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา 

หนึ่งในนั้นก็คือ กองทุน Aberdeen Small Cap ที่สามารถสร้งผลงานโดดเด่นอย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมา กองทุนมีผลตอบแทน 5 ปีย้อนหลังสูงถึง 18.14% ต่อปี ขณะที่ค่าเฉลี่ยของกลุ่มทำได้ 15.26% ต่อปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งปี 2010 - 2012 ที่ผลงานของกองทุน Aberdeen Small Cap นั้นเด่นชัดอย่างมาก ที่สำคัญกองทุนยังสามารถรักษาระดับความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่กลางเมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยกับกลุ่ม

หากพูดถึงกลยุทธ์การลงทุนกองทุนหุ้นของ บลจ. อเบอร์ดีน ทาง บลจ. กล่าวว่า กลยุทธ์ลงทุนในหุ้น อเบอร์ดีนยังคงลงทุนแบบ Active โดยใช้วิธี bottom-up เลือกหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งเป็นรายตัว โดยเลือกซื้อในราคาที่เหมาะสม เพื่อมุ่งเน้นผลตอบแทนที่สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานในการลงทุนระยะปานกลางถึงระยะยาว คือ 3-5 ปีขึ้นไป ปัจจัยสำคัญที่ทำให้กองทุนประสบความสำเร็จคือการลงทุนตามปรัชญาและแนวทางการลงทุนที่เน้นการเลือกลงทุนในบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีงบการเงินแข็งแกร่ง บริหารโดยทีมผู้บริหารที่มีความรู้ความสามารถ และมีธรรมมาภิบาลที่โปร่งใส เพื่อผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว

สำหรับพอร์ตการลงทุน น้ำหนักในหมวดอุตสหกรรมที่ลงทุนนั้น เป็นผลลัพธ์ของการเข้าเลือกลงทุนหุ้นเป็นรายตัว โดยในปัจจุบันเราให้น้ำหนักการลงทุนในหมวดค้าปลีก ประกัน และการเงิน เป็นต้น 

ส่วนมุมมองที่มีต่อการลงทุนในปี 2013 บลจ. อเบอร์ดีน มีความเห็นว่า

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในช่วงปีที่ผ่านมา และปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากจากในอดีต แต่ก็ยังมีโอกาสที่ตลาดจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากผลประกอบการของหลายบริษัทยังคงมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง 

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและภาวะหนี้ของกลุ่มประเทศยุโรปยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตาม ในขณะที่การดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินการคลังของหลายประเทศ ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงเช่นกัน โดยหากเริ่มมีการยกเลิกนโยบายดังกล่าวก็อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นได้

จะว่าไปแล้วการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็ก (Medium/Small cap) นั้นโดยธรรมชาติถือว่ามีความเสี่ยงที่มากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักลงทุนรายย่อยที่ขาดประสบการณ์และไม่มีเวลาในการติดตาม ลองนึกภาพดูว่าหุ้นในตลาดไทยมีมากกว่า 500 บริษัท ในจำนวนนั้นมีหุ้นขนาดกลางและเล็ก (Medium/Small cap) เกินกว่า 400 บริษัท ดังนั้นการจะเลือกลงทุนในบริษัทที่ดีจึงเป้นเรื่องที่ยากสำหรับนักลงทุนรายย่อย แต่ถ้าท่านอยากลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็ก (Medium/Small cap) กองทุนรวมประเภทนี้ก็เป็นทางเลือกที่ดีที่ท่านสามารถใช้ประโยชน์ได้